เบื้องหลังความสำเร็จของงาน นอกจากความชำนาญ และความทุ่มเท ร่วมแรงร่วมใจของทีมที่มอบให้กับงานแล้ว ปัจจัยหลักที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “ความสุข” โดยเฉพาะในองค์กรต่าง ๆ หากพนักงานทำงานด้วยความสุขทั้งกายและใจเป็นพื้นฐานแล้ว องค์กรนั้นย่อมมีบรรยากาศการทำงานที่ดี และก่อเกิดนวัตกรรม สร้างผลงานที่โดดเด่นเช่นกัน
องค์กรยุคใหม่ทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานให้ทำงานอย่างมีความสุข ทั้งทางกายและทางจิตใจไปพร้อมกัน สำหรับประเทศไทย ทรู เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นดูแลและให้ความสำคัญกับพนักงานทุกคนเป็นอันดับแรก โดยส่งเสริมให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุขในทุกด้าน นอกเหนือจากการดูแลด้านความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีแล้ว ยังใส่ใจในการส่งเสริมความสุขใจทั้งในการทำงานและการดำเนินชีวิตไปพร้อมกัน ผ่านสวัสดิการและกิจกรรมที่หลากหลาย
หนึ่งในกิจกรรมที่ได้สาระความรู้ไปพร้อมกับการสนับสนุนความสุขของพนักงานยิ่งขึ้น คือ การพบปะพูดคุย และรับฟังเคล็ดลับที่เป็นประโยชน์ จากผู้เชี่ยวชาญและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังที่หลายคนชื่นชอบ ในหัวข้อที่หลากหลาย ซึ่งขอหยิบยกเคล็ดลับดี ๆ จาก 2 กิจกรรมเด่นในช่วงที่ผ่านมา ให้ทุกคนได้นำไปปรับใช้ด้วยกัน
ความสุขที่มาพร้อมกับการรู้จักตัวเอง
ในการทำงานและการใช้ชีวิต พนักงานอาจมีความเครียดได้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดได้กับทุกคน บางคนอาจจะเครียดโดยไม่รู้สึกตัวได้เช่นกัน ภาวะเช่นนี้เราหาทางป้องกันและแก้ไขได้ โดยแปรเปลี่ยนให้เป็นการรู้จักตัวเองและนำมาซึ่งความสุข
ดร. โฟม สุธาสินี เชาวน์เลิศเสรี นักจิตวิทยาให้คำปรึกษา และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตองค์กร ผู้ก่อตั้ง ALRISE ศูนย์บริการเชิงจิตวิทยาและพัฒนาบุคคลเชิงองค์รวม ได้มาแชร์เทคนิคน่ารู้ในการรู้จักตัวเองผ่านวิธีการทำ Self-reflection หรือการสะท้อนตัวเองจากการคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับตัวเอง เพื่อให้ชาวทรูได้นำไปใช้ในการสร้างความเข้าใจและพัฒนาตัวเองได้อย่างเต็มที่ ตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. สำรวจก่อนว่าเราพร้อมที่จะอยู่คนเดียวเพื่อทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ หรือไม่ หากไม่พร้อมให้ไปทำกิจกรรมอย่างอื่นที่เสริมสร้างความสุขให้สบายใจ เช่น ร้องเพลง กิน เที่ยว ไปอยู่กับธรรมชาติ
2. เมื่อพร้อมแล้ว ให้หาช่วงเวลาที่จะนั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ อยู่คนเดียวในห้อง ไม่มีใครรบกวน อย่างน้อย 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงอย่างต่อเนื่อง
3. เตรียมกระดาษ ปากกาให้พร้อม เพื่อเขียนตอบตัวเองในกระดาษว่า ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเราบ้าง สถานการณ์ที่เราเจอเป็นอย่างไร ในจุดนี้หลายคนอาจจะมีคำถามว่า ถ้าคิดไม่ออกจะทำอย่างไร เราต้องให้เวลาตัวเองเพิ่ม นี่คือชีวิตของเรา มีเพียงเราคนเดียวเท่านั้นที่รู้
4. หลังจากเขียนปัญหาออกมาแล้ว ให้ถามตัวเองต่อไปว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร สาเหตุมาจากไหน โดยถามตัวเองด้วยคำถามเดิมนี้ ทั้งหมด 5 รอบ เพื่อให้เราค่อย ๆ เจาะลึกถึงลงไปเรื่อย ๆ จนเจอสาเหตุที่แท้จริง
5. กระบวนการทั้งหมดจะทำให้เราเห็นปัญหา รู้สาเหตุ และเข้าใจตัวเองยิ่งขึ้น หลายคนอาจมีเรื่องที่อยากทำความเข้าใจตัวเองหลายเรื่อง ให้เริ่มจากเรื่องเดียวก่อน เมื่อทำสำเร็จแล้วไปหนึ่งเรื่องแล้ว จึงย้อนกลับมาทำตามขั้นตอนแรกเพื่อจัดการเรื่องอื่น ๆ ต่อไป
การทำ self-reflection นี้ ก็เพื่อให้เราเข้าใจตัวเอง และจัดการเรื่องที่ติดค้างอยู่ เพื่อให้เราเข้าใจเรื่องราวต่างๆ และตัวเองมากขึ้น และเกิดความสุขและสบายใจมากขึ้นนั่นเอง
ทำงานสนุกแบบพลังใจล้น เราทุกคนพร้อมเดินหน้าไปด้วยกัน
การมีคนเข้าใจ แบ่งปันพลังงานบวก ย่อมทำให้จิตใจมีความสุขและพร้อมทำงานได้อย่างเต็มที่ ดีเจอ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านความรักความสัมพันธ์ จากรายการ Club Friday ได้พูดคุยถึงแนวโน้มหรือกระแสที่สังคมคนทำงานและองค์กรพูดถึงกันมากโดยเฉพาะตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 นั่นคือ ภาวะการหมดไฟในการทำงาน พร้อมแชร์ข้อคิดและเคล็ดลับดี ๆ ให้ชาวทรูได้อบอุ่นใจ เพิ่มพลังการทำงานได้อย่างมีความสุขล้นเหลือ ด้วยวิธีที่ง่าย ๆ แต่ทำแล้วสบายใจมาก
1. ทุกคนท้อได้ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เราอาจได้ยินคำว่า ‘ท้อแล้วให้รีบลุกขึ้นมา’ แต่จะดียิ่งกว่าถ้าเรายอมรับความจริงก่อนว่า เรากำลังเริ่มเหนื่อย เพราะการที่จิตใจและร่างกายเริ่มเข้าภาวะหมดไฟ นั่นหมายความว่า ร่างกายกำลังส่งสัญญาณว่า เราใช้ร่างกายหนักเกินไป
2. หากอยากมีพลังทำงานในทุก ๆ วัน ให้ถามตัวเองบ้างว่า เหนื่อยไหม ถ้าเหนื่อยต้องพัก ซึ่งวิธีการพักไม่ต้องมองถึงสิ่งไกลตัว แค่ได้กินของอร่อยที่อยากกิน เจอเพื่อนก็ได้ ที่สำคัญก็คือ อย่าทำแต่อะไรที่เป็นกิจวัตรประจำวัน จนกระทั่งลืมไปว่า ความต้องการจริง ๆ ของเราคืออะไร
3. คำชื่นชมจากหัวหน้าเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะเป็นกำลังใจเพื่อจะบอกว่าคน ๆ นั้นมีความสำคัญกับองค์กรแค่ไหน และสำคัญที่สุดคือ คำชมที่ให้กับตัวเอง ซึ่งการชมตัวเองไม่ใช่การโอ้อวด แต่เป็นการบอกให้รู้ว่าเราก็เป็นคนหนึ่งที่มีศักยภาพ เราจะได้รู้สึกมีพลังในตัวเองด้ว
นอกจากนี้ ดีเจอ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล ได้ทิ้งท้ายไว้เกี่ยวกับสวัสดิการในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มพลังใจและดูแลสุขภาพใจของพนักงานว่า
“ถ้าเมื่อไรก็ตามที่จิตใจของเราเหนื่อยล้า เราจะไม่มีพลังไปทำงาน ตอนนี้สวัสดิการในบริษัทหลายที่ทั่วโลกเน้นการดูแลสุขภาพใจ ส่วนในประเทศไทย ทรูเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญในการดูแลเรื่องสุขภาพใจ เมื่อบริษัทดูแลดีทุกคนจะเอาหัวใจลงไปทำงาน และถ้าหากใครที่เอาหัวใจลงไปทำงาน ก็จะมีพลังบางอย่างที่ผลักดันให้เราเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน”
ขับเคลื่อนองค์กรด้วยความสุขของพนักงาน
เพราะเชื่อว่า “คน” เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร ทรูจึงมุ่งเน้นดูแลให้พนักงานทุกคนในองค์กรทำงานอย่างมีความสุข เป็น People Organization ที่นึกถึงพนักงานเป็นอันดับแรก โดยดูแลความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิตที่ทั้งกายและใจ เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานด้วยความมั่นใจ สบายใจ และมีความสุข
ในด้านของการดูแลความสุขและพลังใจนั้น นอกเหนือจากการจัดกิจกรรมพบปะและแชร์เคล็ดลับความรู้ที่ดูแลและผ่อนคลายจิตใจแล้ว
ทรูยังให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพกายอย่างมากเช่นกัน ตั้งแต่การใส่ใจในเรื่องเล็ก ๆ เช่น จัดห้อง Nap ให้สำหรับพนักงานที่ต้องการมาพักผ่อนสมองและร่างกาย เพื่อความผ่อนคลายในช่วงพักระหว่างวันเป็นเวลาสั้น ๆ พร้อมเติมกำลังในการทำงานอย่างสดชื่น หรือหากมีอาการเมื่อยล้าร่างกายก็มีบริการนวดเพื่อสุขภาพ หรือทำกายภาพบำบัดโดยผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกให้กับพนักงานที่รักการออกกำลังกาย ให้ได้มาใช้ฟิตเนสในออฟฟิศ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปที่อื่นอีกด้วย เรียกได้ว่า ทรู จัดสวัสดิการที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ และดูแลความเป็นอยู่และความสุขทั้งกายใจของพนักงานได้อย่างดีเยี่ยม
นอกจากนี้ยังมีสวัสดิการที่ดูแลเฉพาะทางสำหรับผู้ที่ต้องการพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ ผ่านบริการที่สะดวกด้วยการปรึกษาทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน MorDee เพราะเรื่องการดูแลสุขภาพใจเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับการดูแลสุขภาพกาย
การทำงานที่เริ่มต้นด้วยจิตใจ และร่างกายที่ดี ถือเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะขับเคลื่อนให้ผลงานออกมาสำเร็จตามเป้าหมาย ฉะนั้นหมั่นเติมพลังใจ ทำให้ตัวเรามีความสุขเข้าไว้ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานต่อไปได้อย่างไร้ขีดจำกัดไปด้วยกัน
ตั้งแต่โลกเริ่มเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล มีธุรกิจสตาร์ทอัพจำนวนมากเกิดขึ้นทั่วโลก สำหรับประเทศไทย กระแสสตาร์ทอัพมาแรงตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน มีสตาร์ทอัพสัญชาติไทยแจ้งเกิดจำนวนมาก แต่ที่สามารถเติบโตและขยายธุรกิจได้กลับมีน้อยราย ซึ่งสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญและจำเป็นที่จะช่วยให้สตาร์ทอัพเกิดและเติบโตได้อย่างมีคุณภาพก็คือ ระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ หรือ Startup Ecosystem
ทรู เป็นองค์กรเอกชนที่มีวิสัยทัศน์ก้าวสู่การเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี โดยหนึ่งในความมุ่งมั่นที่สำคัญ คือ การสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของ Tech Startup ในระดับภูมิภาค เพราะเชื่อว่ากลุ่มสตาร์ทอัพจะเป็นนักรบเศรษฐกิจรุ่นใหม่ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศได้ จึงเป็นที่มาของการลงทุนเพื่อสร้าง Startup Ecosystem ของไทย ซึ่งก็คือ ทรู ดิจิทัล พาร์ค (True Digital Park) นั่นเอง
ทรู ดิจิทัล พาร์ค เป็นศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน มีระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพที่สมบูรณ์แบบครบวงจรในพื้นที่เดียว โดยรวบรวมทั้ง บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัย นักลงทุน หน่วยงานภาครัฐ และสตาร์ทอัพผู้ประกอบการเทค อยู่ร่วมกันในระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกันภายใต้แนวคิด “Open Innovation” เพื่อหลอมรวมและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพให้เกิดขึ้นและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
นับเป็นพื้นที่เพื่อการพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่เกิดขึ้นจากการลงทุนของเอกชนโครงการแรกของประเทศไทย ขณะที่โครงการอื่น ๆ ทั่วโลกล้วนเกิดจากการสนับสนุนของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่ง ทรู ดิจิทัล พาร์ค มีความเพียบพร้อมของระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพครอบคลุมทุกมิติ
พื้นที่สร้างสรรค์นวัตกรรม สนับสนุนการทำงาน และสร้างชุมชนสตาร์ทอัพ
แน่นอนว่า สตาร์ทอัพที่เริ่มต้นทำธุรกิจอาจจะยังไม่มีสถานที่ทำงานเป็นของตัวเอง ทรู ดิจิทัล พาร์ค จึงเปิดพื้นที่ทำงาน ที่สนับสนุนให้สตาร์ทอัพในหลากหลายธุรกิจได้มารวมตัวในพื้นที่เดียวกัน และเกิดเป็นชุมชนสตาร์ทอัพ หรือ Startup Community ที่เปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนแนวคิดและเอื้อต่อการต่อยอดธุรกิจร่วมกันได้
ทรู ดิจิทัล พาร์ค ออกแบบพื้นที่ด้วยแนวคิด “Tomorrow Life Campus” ที่จะปลุกพลังคนรุ่นใหม่ให้ก้าวไปพร้อมกับนวัตกรรมดิจิทัลแห่งอนาคต และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคดิจิทัล ภายในมีการเปิดพื้นที่ให้สตาร์ทอัพใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ มีพื้นที่ทำงานที่เป็น Co-working Space รวมถึงพื้นที่ออฟฟิศหลากหลายขนาดที่รองรับได้ทั้งออฟฟิศขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ที่ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกร่วมกันได้ เพื่อรองรับสตาร์ทอัพขนาดเล็กที่ต้องการทำงานแบบประจำ ไปจนถึงออฟฟิศที่สามารถรองรับคนได้ถึง 2,000 คน ตอบโจทย์สตาร์ทอัพขนาดใหญ่ แต่ละชั้นมีบันไดเชื่อมถึงกัน พร้อมพื้นที่ส่วนกลาง ทั้งห้องประชุมหลากหลายขนาดที่มีอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างครบครัน สนับสนุนการพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์เป็นเครือข่ายชุมชนสตาร์ทอัพ
เติมเต็มความรู้แก่สตาร์ทอัพและคนรุ่นใหม่ ผ่านศูนย์รวมสถาบันการเรียนรู้ด้านดิจิทัลระดับโลก
หนึ่งในการสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์แบบเพื่อสตาร์ทอัพ คือการเปิดโอกาสการเรียนรู้และเพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลให้แก่สตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการเทค และคนรุ่นใหม่ที่สนใจเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งทรู ดิจิทัล พาร์ค ได้ร่วมมือกับพันธมิตรองค์กรเทคโนโลยีดิจิทัลระดับแนวหน้าของประเทศและของโลก เปิด “ศูนย์รวมสถาบันการเรียนรู้ด้านดิจิทัลระดับโลก” (True Digital Park House of Digital Academy) แห่งแรกและแห่งเดียวในไทย ซึ่งเป็นศูนย์รวมทุกโอกาสการเรียนรู้และเพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล ให้ผู้ที่สนใจได้เรียนรู้และอัปสกิลด้านดิจิทัล เพื่อสร้างบุคลากรของประเทศให้มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและตอบโจทย์องค์กรต่างๆที่เร่งทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล เตรียมพร้อมรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมและการลงทุนในยุค 4.0
ความร่วมมือในครั้งนี้ มีองค์กรพันธมิตรทั้งในไทยและระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Alibaba Cloud Thailand, Amazon Web Services, Cisco System (Thailand), Google Thailand, Huawei Cloud Thailand, Microsoft (Thailand), Mitsubishi, Sea (Thailand), True Digital Academy, Bit.studio, Tellscore, สมาคมโปรแกรมเมอร์ไทย และการตลาดวันละตอน ร่วมกันยกระดับความรู้และทักษะด้านดิจิทัลของคนไทย ช่วยเพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เร่งสปีดสตาร์ทอัพเติบโตด้วยโปรแกรม Startup Sandbox
นอกเหนือจากเรื่องพื้นที่ทำงาน ที่ตอบโจทย์เวิร์กสไตล์ของสตาร์ทอัพแล้ว ทรู ดิจิทัล พาร์ค ยังเร่งเพิ่มศักยภาพการเติบโต พร้อมสร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ผ่านหลักสูตร และกิจกรรม อาทิ Startup Sandbox โปรแกรมระยะสั้น กดที่เป็นความร่วมมือระหว่างทรู ดิจิทัล พาร์ค และองค์กรขนาดใหญ่ สถาบันการศึกษา หรือ หน่วยงานภาครัฐ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้สตาร์ทอัพในประเทศไทย ด้วยพื้นที่ทำงาน แหล่งความรู้ ชุมชนสตาร์ทอัพ และโอกาสในการพบกูรูผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ รวมถึงเหล่านักลงทุน เพื่อให้สตาร์ทอัพสามารถต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
โปรแกรม Startup Sandbox ไม่เพียงแค่ช่วยบ่มเพาะสตาร์ทอัพ แต่ยังส่งเสริมการนำเทคโนโลยีสื่อสารและดิจิทัลล้ำสมัยมาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของผู้คนหรือสำหรับภาคธุรกิจด้วย อย่างเช่น ในยุคที่ 5G สามารถพลิกมิติใหม่ของภาคอุตสาหกรรม True Digital Park ได้ร่วมมือกับ True 5G จัดเวทีประชันไอเดีย เช่น True5G Tech Sandbox ให้ผู้ที่สนใจร่วมสร้างสรรรค์นวัตกรรมโซลูชันเพื่อคนไทย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิต เมืองอัจฉริยะ การศึกษา การค้าปลีก เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ซึ่งผู้ที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโปรแกรม Sandbox นี้ ได้เรียนรู้ในการนำอัจฉริยภาพของเทคโนโลยี 5G ผสานเทคโนโลยีดิจิทัลหลากหลาย ต่อยอดไอเดียและลงมือพัฒนา ให้เกิดเป็นนวัตกรรมสินค้าหรือบริการที่ใช้งานได้จริง โดยมีผู้เชี่ยวชาญในวงการให้คำแนะนำ สนับสนุน ช่วยเหลือ พร้อมโอกาสได้รับเงินลงทุนจากนักลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจและสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตไปด้วยกัน
TDPK One Stop Service for Startups ช่วยธุรกิจเดินหน้าไม่สะดุด
ทรู ดิจิทัล พาร์ค มีบริการ TDPK One Stop Service for Startups ศูนย์ให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาในการดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพในด้านต่าง ๆ อาทิ การขอสมาร์ทวีซ่า บัญชีและกฎหมาย สิทธิประโยชน์ทางภาษีและการส่งเสริมการลงทุน การหาพันธมิตรทางธุรกิจ การจัดหาทีมงานหรือบุคลากรสายเทค บริการคลาวด์ และโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สนับสนุนในเรื่องสิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับบริษัทที่จะเข้ามาอยู่ในทรู ดิจิทัล พาร์ค นอกจากนี้ ยังมีสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ที่เข้ามาเปิดศูนย์บริการเพื่อรองรับผู้ประกอบการที่สนใจจะเข้าไปสู่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ศูนย์แห่งนี้จะเชื่อมโยงและอำนวยความสะดวกให้สตาร์ทอัพเข้าถึงหลาย ๆ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐ ที่มีส่วนสำคัญการในสนับสนุน ส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ สนับสนุนทางด้านเทคโนโลยี พาออกตลาดต่างประเทศ ตลอดจนออกกฎเกณฑ์ทางด้านข้อปฎิบัติ และกฎหมายต่าง ๆ ที่เอื้อประโยชน์ต่อการสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพ
ระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ ที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่สุด
ทรู ดิจิทัล พาร์ค ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสนับสนุนสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่อง โดยเปิด ทรู ดิจิทัล พาร์ค เวสต์ ประเดิมด้วยพื้นที่จัดงานอีเวนต์และการประชุม โดยมีการจัดสรรพื้นที่ที่หลากหลาย รองรับได้ทั้งงานแสดง งานประชุม งานเสวนา หรือเวิร์กช็อปทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ และคอนเวนชันฮอลล์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีครบครัน และล่าสุดกับ ห้องสมุดมีชีวิต TK PARK รองรับทั้งการทำงาน การศึกษา และเป็นพื้นที่เชิงการเรียนรู้ครบวงจร รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สีเขียว สวนลอยฟ้า และร้านค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่า ทรู ดิจิทัล พาร์ค ส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ ที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่สุด
ทรู เชื่อมั่นในศักยภาพของสตาร์ทอัพไทย และมุ่งมั่นสร้างสรรค์ให้ทรู ดิจิทัล พาร์ค มีระบบนิเวศเพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพที่สมบูรณ์แบบ เอื้อต่อการพัฒนาด้านดิจิทัลของไทย พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางของ Tech Startup ในระดับภูมิภาค และนำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย
คลิกดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทรู ดิจิทัล พาร์ค ได้ที่นี่
อ้างอิง
- https://www.thestorythailand.com/07/11/2022/80898
- https://www.facebook.com/ThailandStartup/posts/2064534536890206
- https://www.truedigitalpark.com/insights/news-and-promotions/187/tdpk-open-house-of-digital-academ
- https://urbancreature.co/true-digital-park-event-space/
หนึ่งในกลุ่มมิจฉาชีพที่ยังคงคุกคามและสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ที่หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ ก็คือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นขบวนการหลอกลวงเหยื่อทางโทรศัพท์ โดยมักจะสร้างสถานการณ์ปลอมขึ้นมาหลอกลวงให้เหยื่อเกิดความตื่นตระหนก เข้าใจผิดว่าได้รับผลกระทบ หรือหลอกล่อด้วยผลประโยชน์บางอย่าง โดยอาศัยความตกใจ ความกลัว และความรู้ไม่เท่าทันของเหยื่อ และยังมีกลอุบายแบบใหม่ ๆ ที่หลากหลาย มาล่อลวง ทำให้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ และเกิดความสูญเสียทั้งเวลาและทรัพย์สิน
ที่ผ่านมา ภัยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สร้างความเสียหายมหาศาล ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดสถิติ Financial Fraud หรือการหลอกลวงทางการเงินในปี 2564 เผยแพร่ในรายงาน Bi-monthly PAYMENT INSIGHT ฉบับที่ 14/2565 เรื่อง Financial Fraud : กลโกงทางการเงินใกล้ตัวกว่าที่คิด โดยได้ระบุว่า พบการโทรศัพท์เพื่อหลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทั้งสิ้น 6.4 ล้านครั้ง โดยในปี 2564 มีมูลค่าความเสียหายที่พิสูจน์แล้วว่าเสียหายจริงกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหลอกลวงผ่านโทรศัพท์ และอินเทอร์เน็ตมากที่สุด
ปัจจุบัน แก๊งคอลเซ็นเตอร์กลายเป็นภัยใกล้ตัวของทุกคน ซึ่งแม้ว่าหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะร่วมมือกันในการสืบค้น ปราบปราม และจับกุมกวาดล้างเหล่ามิจฉาชีพแล้ว การเตือนภัยและให้ความรู้ในการรับมือกับกลุ่มมิจฉาชีพก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยเสริมเกราะป้องกัน เพื่อให้รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมกลโกง และเอาตัวรอดให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพกลุ่มนี้ได้
เจาะลึกกลโกงแก๊งคอลเซ็นเตอร์
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แจ้งเตือนประชาชนให้ระวังกลโกงและรู้ทันวิธีการหลอกลวงของแก็งคอลเซ็นเตอร์ สรุปได้ 8 กลโกง ดังนี้
1. อ้างว่ามีพัสดุจากบริษัทขนส่งข้ามประเทศถูกอายัด แก๊งคอลเซ็นเตอร์อาจโทรหรือใช้ระบบอัตโนมัติแจ้งว่ามีพัสดุจากต่างประเทศที่ส่งผ่าน DHL หรือ FedEx ถูกด่านกรมศุลกากรอายัดไว้เนื่องจากมีสิ่งของผิดกฎหมาย จากนั้นให้ติดต่อกลุ่มมิจฉาชีพที่สวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อตรวจสอบบัญชี หรือโอนเงินในบัญชีทั้งหมดมาตรวจสอบ
2. อ้างว่าเป็นข้าราชการ เช่น ศาล อัยการ ตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือกรมสรรพากร และแจ้งว่าเหยื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมร้ายแรง โดยให้โอนเงินในบัญธนาคารทั้งหมดมาตรวจสอบ
3. อ้างว่าค้างค่าปรับจราจร โดยหลอกให้โอนเงินค่าปรับจราจรมาให้
4. อ้างว่าค้างชำระบัตรเครดิตเป็นเงินจำนวนมาก หากไม่รีบชำระจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดี เพื่อหลอกให้โอนเงินชำระค่าบัตรเครดิตให้มิจฉาชีพทันที
5. อ้างว่าทำความผิดโดยการเปิดบัญชีม้า โดยแจ้งว่าเหยื่อได้เปิดบัญชีธนาคารให้คนร้ายทำความผิด โดยต้องโอนเงินในบัญชีธนาคารทั้งหมดมาตรวจสอบ
6. อ้างว่าการเคลมประกันโควิด-19 เป็นเท็จ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมร้ายแรง จากนั้นก็แจ้งให้เหยื่อโอนเงินบัญชีธนาคารทั้งหมดมาตรวจสอบ
7. อ้างเป็น กสทช. หลอกว่าหมายเลขโทรศัพท์มือถือของเหยื่อค้างชำระค่าบริการ หรือมีผู้ร้องเรียนเป็นจำนวนมาก จะถูกปิดหมายเลขภายใน 2 ชั่วโมง ให้ติดต่อกลุ่มมิจฉาชีพที่สวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และโอนเงินในบัญชีทั้งหมดมาตรวจสอบ
8. อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือหน่วยงานทางการแพทย์ เพื่อหลอกขอข้อมูลส่วนบุคคล จากนั้นก็หลอกให้โอนเงินค่ารักษาพยาบาล
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเบอร์ต้องสงสัยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์
สิ่งแรกที่ทุกคนสังเกตได้คือ เบอร์โทรศัพท์หลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะเป็นหมายเลขแปลกๆ ซึ่งปกติแล้วเวลามีคนโทรเข้ามาเบอร์จะปรากฏเป็นเลข 10 หลัก แต่ถ้าหากเห็นเบอร์ยาวๆ แล้วยังมีเครื่องหมายบวก (+) อยู่ข้างหน้าอีก ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่า อาจจะเป็นเบอร์โทรหลอกลวงจากมิจฉาชีพได้
ส่วนใหญ่แล้วเป็นเบอร์ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้โทรเข้ามาจะเป็นเบอร์ที่เราไม่เคยติดต่อ หรือเป็นเบอร์โทรที่เราไม่ได้บันทึกไว้ในเครื่องโทรศัพท์ โดยมักจะเป็นเบอร์จากต่างจังหวัดที่ไม่คุ้นเคย หรือโทรมาจากต่างประเทศ ซึ่งมักจะขึ้นต้นด้วย +830 หรือ +870
นอกจากนี้ ยังมีเบอร์ที่ขึ้นต้นด้วย +697 และ +698 ซึ่งเป็นความร่วมมือของกสทช.และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ใส่เครื่องหมายนำหน้าเบอร์โทรศัพท์ เพื่อให้ทราบว่าเป็นการโทรจากต่างประเทศ หากไม่มีคนรู้จักที่จะติดต่อจากต่างประเทศ ควรระมัดระวัง อาจเป็นการโทรจากมิจฉาชีพ
วิธีรับมือกับแก็งคอลเซ็นเตอร์
สำหรับใครที่เผลอรับสายเบอร์แปลก ๆ และคิดว่าอาจเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อความปลอดภัย สามารถทำตามวิธีการดังต่อไปนี้
- ไม่เชื่อ : ไม่เชื่อว่าภาครัฐหรือเอกชนมีนโยบายสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลทางโทรศัพท์ ตั้งสติเมื่อรับสายทุกครั้ง
- ไม่บอก : ไม่บอกข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลทางการเงินใดๆ รีบตัดสายและวางสายโดยเร็วที่สุด
- ไม่ทำตาม : ไม่ทำตามที่แก็งคอลเซ็นเตอร์แนะนำ ไม่ว่าจะขั้นตอนใดๆ เด็ดขาด หลังจากวางสาย ให้ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานหรือสถาบันที่ถูกแอบอ้างทันที
ทรูมูฟ เอช ห่วงใย ให้คุณปลอดภัยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์และมิจฉาชีพทุกรูปแบบ
ทรูมูฟ เอช ตระหนักถึงภัยจากคอลเซ็นเตอร์และมิจฉาชีพที่มาพร้อมกับกลโกงหลากหลายรูปแบบ ด้วยความห่วงใยลูกค้าทุกคน ทรูมูฟ เอช จึงมีแนวทางแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนและครบวงจร เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ลูกค้าเป็นสำคัญ
โดยทรูมูฟ เอช เพิ่มช่องทางพิเศษดูแลลูกค้าที่พบปัญหาโดยเฉพาะ หากลูกค้าได้รับเบอร์โทรต้องสงสัย สามารถติดต่อ Hotline 9777 (โทรฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย) ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเบอร์โทรต้องสงสัย และ SMS มิจฉาชีพ เพื่อดำเนินการบล็อกเบอร์โทร หรือ SMS ทันทีที่ตรวจพบว่าเป็นของมิจฉาชีพจริง พร้อมประสานหน่วยงานภาครัฐเพื่อสืบค้นและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นอกจากนี้ ทรูยังสนับสนุนการเสริมเกาะป้องกันภัยไซเบอร์ต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ และอัปเดตภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ ๆ ผ่านเว็บไซต์ True Cyber Care ให้ลูกค้าทรูและผู้บริโภครู้ทันก่อนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ คลิกดูข้อมูลได้ที่นี่
อ้างอิง
การระบาดของโควิด-19 ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงานเปลี่ยนแปลงไปสู่วิถีใหม่ หลายองค์กรเริ่มจากปรับเปลี่ยนให้พนักงานทำงานจากบ้าน (Work From Home) และยกระดับสู่การทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work From Anywhere) จนทุกวันนี้กลายเป็นการทำงานวิถีใหม่ที่หลาย ๆ องค์กรมีทางเลือกให้พนักงานทำงานในรูปแบบ Hybrid Work โดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาทำงานในออฟฟิศทุกวัน
การที่พนักงานสามารถทำงานจากสถานที่ต่าง ๆ ได้ กลายเป็นความท้าทายของฝ่ายบุคคล หรือ HR ที่จะต้องคอยดูแลและอำนวยความสะดวกให้พนักงานสามารถทำงานได้ราบรื่นที่สุด อีกทั้งยังต้องเชื่อมโยงพนักงานให้ติดต่อประสานงานกันได้ง่าย และยังรู้สึกใกล้ชิดกับองค์กรเช่นเดิม ในสถานการณ์เช่นนี้ เทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากที่จะช่วยให้ HR สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับความคาดหวังของพนักงานทุกคนในองค์กร
Mobile Application เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงการสื่อสารและการทำงานของพนักงานในองค์กรได้อย่างรวดเร็ว เอื้อให้พนักงานทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งานได้จากทุกที่และทุกเวลา ตอบโจทย์การทำงานแบบ Hybrid Work ได้เป็นอย่างดี ยิ่งในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลก้าวล้ำไปมาก Mobile Application ก็สามารถพัฒนาให้มีฟังก์ชันหลากหลาย ตอบโจทย์การใช้งานขององค์กรได้มากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นเสมือนศูนย์กลางการทำงาน ที่ทั้งรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สร้างระบบมอบหมายงานและอนุมัติงาน รวมถึงเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างกันของพนักงานทุกคน
HR ยุคใหม่ในแบบทรู ดูแลพนักงาน สร้างความผูกพัน ผ่านแอปพลิเคชัน True Connect
ทรู ได้ทรานสฟอร์มสู่องค์กรดิจิทัล ก้าวสู่เทคคอมปานีเต็มรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ โดยมีการวางแผนและเตรียมความพร้อม มุ่งเน้นการบริหารทรัพยากรบุคคลอย่างรอบด้าน ให้ความสำคัญด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนงาน และมีพนักงานเป็นเสมือนหัวใจที่ขับเคลื่อนให้องค์กรประสบความสำเร็จ ทรูจึงเน้นการพัฒนาคน ควบคู่กับการให้ความสำคัญเรื่องการดูแลพนักงานให้ทำงานอย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างสิ่งแวดล้อมที่สามารถเติมเต็มความรู้และทักษะแก่พนักงานจนเต็มศักยภาพ
หนึ่งในเทคโนโลยีที่ทรูได้นำมาดูแลพนักงานอย่างใกล้ชิด คือ แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า “True Connect” ซึ่งทำหน้าที่เป็น เหมือน Super App ที่รวมทุกบริการที่พนักงานทรูจำเป็นต้องใช้ทั้งหมดเข้าด้วยกัน โดยสามารถใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ฟีเจอร์การใช้งานของ True Connect เรียกได้ว่า ครบ จบ ในแอปเดียว ที่สำคัญ คือ มั่นใจในความปลอดภัยสูงสุดของข้อมูล ตัวอย่างฟีเจอร์เด่นที่พนักงานนิยมใช้งาน ได้แก่ Chat ที่ช่วยให้สื่อสารกันได้สะดวกผ่านการพิมพ์ข้อความ โทร วิดีโอคอล ทั้งแบบเดี่ยวและกลุ่ม รวมถึงการส่งภาพ แชร์ไฟล์ ที่ดูย้อนหลังได้และไม่มีหมดอายุ People รวบรวมข้อมูลการติดต่อพนักงานทุกคนทั้งบริษัทไว้ในที่เดียว โดยสามารถค้นหาเพื่อนร่วมงานหรือติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ได้สะดวกมาก Portal รวบรวมระบบและเว็บไซต์อื่น ๆ ขององค์กรเอาไว้ เพื่อให้เข้าถึงสะดวก ไม่ต้องเข้าผ่านช่องทางอื่น Form แบบฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ ที่สะดวกต่อการอนุมัติงานต่าง ๆ จากระบบ พร้อมกับลดการใช้กระดาษ เป็นต้น
นอกจากนี้ พนักงานทุกคนยังเข้าถึงบริการ HR Services ได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการใช้สิทธิ์วันลา การขอสลิปเงินเดือน ใบรับรองการทำงาน การเบิกค่ารักษาพยาบาลประกันสังคมและประกันสุขภาพ ไปจนถึงการรับสิทธิพิเศษ และโปรโมชั่นสินค้าและบริการต่าง ๆ เพื่อพนักงานในกลุ่มทรู เรียกได้ว่า พนักงานทุกคนสามารถติดต่อบริษัทและเข้าถึงสิทธิประโยชน์ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
รางวัล “HR Excellence Awards 2021” บทพิสูจน์องค์กรแห่งความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล
ทรูนำเทคโนโลยีมาใช้ในการขับเคลื่อนงาน ควบคู่กับ การดูแลพนักงานอย่างต่อเนื่องครอบคลุมทุกมิติ ด้วยความเชื่อว่า “คน” เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญขององค์กร สะท้อนความสำเร็จด้วยรางวัล “HR Excellence Awards 2021” ระดับ Gold สาขาความเป็นเลิศด้านการนำนวัตกรรมมาใช้ในเทคโนโลยีการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Excellence in Innovative Use of HR Tech) ในฐานะองค์กรที่มีการนำนวัตกรรมเทคโนโยดิจิทัลมาใช้ในกระบวนการบริหารจัดการบุคคล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและสร้างประสบการณ์ที่ดีด้านดิจิทัลให้แก่พนักงาน อันเป็นการเสริมสร้างและสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วขององค์กรและธุรกิจในรูปแบบของ Digital Transformation โดยทรูเป็นองค์กรสื่อสารโทรคมนาคมไทยเพียงรายเดียวที่ได้รับรางวัล “HR Excellence Awards 2021” สูงสุดถึง 9 สาขา ประกอบด้วย 2 รางวัลระดับ Gold และ 3 รางวัลระดับ Silver รวมทั้งได้รับการรับรองความเป็นเลิศในระดับประเทศอีก 4 สาขาจากสถาบัน Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์
สรุปข้อดีของการนำ Mobile Application มาใช้ในกลุ่มพนักงาน
- เข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ ทุกเวลา พนักงานสามารถค้นหาและเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้การทำงาน การติดต่อสื่อสารกับคนในองค์กรเป็นไปอย่างสะดวกและราบรื่น รวมถึงการเข้าถึงสวัสดิการของตัวเองได้อย่างง่ายดาย
- ทำงานได้เร็ว ลดความซ้ำซ้อน การรวมระบบงานต่างๆไว้ในแอปพลิเคชัน ช่วยลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานรูปแบบเดิม รวมถึงเป็นการลดการใช้กระดาษได้อีกด้วย
- สร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานได้ง่ายขึ้น เมื่อพนักงานทุกคนสามารถรับข่าวสาร ข้อมูลสำคัญ พร้อมติดต่อสื่อสารกันได้ผ่านแอปพลิเคชันที่เป็นศูนย์กลางขององค์กร เอื้อต่อการมีส่วนร่วมของพนักงาน ทำให้รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ส่งผลต่อความรู้สึกผูกพันต่อเพื่อนร่วมงาน เพื่อนพนักงาน และองค์กรได้มากขึ้น
- เก็บรักษาข้อมูลได้อย่างปลอดภัยสูงสุด การสื่อสารหรือส่งเอกสารสำคัญต่างๆในการทำงานผ่านแอปพลิเคชันภายในองค์กรจะเป็นการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลภายในองค์กร อีกทั้งยังมั่นใจได้ว่าข้อมูลสำคัญถูกจัดเก็บไว้ในบริษัทด้วยระบบที่มีการดูแล ปกป้อง และคุ้มครองข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูงสุด
ในยุคดิจิทัลที่ทุกคนต่างใช้สมาร์ทโฟนเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในชีวิตประจำวันกันแทบทุกเจเนอเรชัน Mobile Application จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางการสื่อสารผ่านออนไลน์ที่เพิ่มความสะดวกในการสื่อสาร และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานในองค์กร อีกทั้งยังเป็นการสร้างประสบการณ์ดิจิทัล สร้างความผูกพันให้ทีมงาน เพื่อนร่วมงาน และองค์กร ใกล้ชิดกันได้มากขึ้น ไม่ว่าจะนั่งทำงานอยู่ที่ไหนก็ตาม
นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของคนไทยและประเทศไทยที่จะมีโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่ดีระดับโลก ต่อยอดสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ได้ใช้นวัตกรรม บริการ และเทคโนโลยีใหม่ๆ หลังการรวมบมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และบมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (“ทรู-ดีแทค”) ซึ่งภายหลังการประกาศรวมธุรกิจที่จะต้องเดินหน้าร่วมกันเพื่อก้าวสู่ความเป็นเทคคอมปานี มอบสิ่งที่ดีกว่าให้กับลูกค้าและนำพาชาวไทยเปลี่ยนสู่ชีวิตดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้น เมื่อทรูและดีแทคได้ดำเนินการรวมธุรกิจตามขั้นตอน พร้อมเป็นบริษัทใหม่ ที่ยังคงมีทั้งแบรนด์ทรูและดีแทคแล้ว จะเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นว่า “เมื่อเรารวมกัน ทุกสิ่งจะดียิ่งกว่า”
เราเชื่อว่า สิ่งที่มาพร้อมกับการรวมธุรกิจ ไม่ใช่มีเพียงแค่การเกิดขึ้นของบริษัทใหม่เท่านั้น แต่เป็นการนำความฝันในยุคดิจิทัลมาทำให้เป็นจริง เพราะเราจะนำศักยภาพที่แข็งแกร่งมารวมกันเพื่อสร้างสิ่งที่ดียิ่งกว่าเดิม
สิ่งที่ลูกค้าทรู จะได้รับทันทีหลังการรวมธุรกิจ คือ เครือข่ายคุณภาพที่กว้างขึ้น เชื่อมโยงครบทุกคลื่นความถี่ ครอบคลุมยิ่งขึ้นกว่าเดิม จากการที่บริษัทใหม่นี้จะก้าวเป็นผู้ให้บริการซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อันจะทำให้สามารถรองรับไลฟ์สไตล์ชีวิตดิจิทัลที่กำลังขยายตัวไปสู่ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงโอกาสการสร้างนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ลูกค้าทรูซึ่งปัจจุบันมีสิทธิพิเศษจากบริการที่หลากหลายของกลุ่มทรู ทั้งทรูมูฟ เอช ทรูออนไลน์ ทรูวิชั่นส์ ทรูไอดี ทรูมันนี่ ทรูดิจิทัล ทรูคอฟฟี่ รวมทั้งทรูยูแล้ว ยังจะได้รับสิทธิพิเศษที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะจากการรวมธุรกิจจะเป็นการรวมพันธมิตรรายใหม่เพิ่มเติมยิ่งขึ้น ตอบโจทย์หลากหลายไลฟ์สไตล์ที่ครบครันยิ่งกว่าเดิม
ลูกค้าทรู ยังจะมีโอกาสที่จะได้รับการพัฒนาบริการที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม จากการนำเทคโนโลยี และประสบการณ์ ด้านการบริการในธุรกิจโทรคมนาคมจากทั่วโลกทั้งจากผู้ร่วมทุนและพันธมิตรรายใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเพิ่มศักยภาพให้กับบริษัทใหม่ในการพัฒนาขีดความสามารถให้หลากหลายครอบคลุมไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของลูกค้าครบในทุกมิติ
ยิ่งไปกว่านั้น การก้าวสู่ความเป็นเทคคอมปานีของบริษัทใหม่นี้ ยังเพิ่มขีดความสามารถในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่รูปแบบดิจิทัล ทั้งการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่ครบวงจร เพื่อเชื่อมต่อคน ธุรกิจ สังคม และเศรษฐกิจ ผ่าน IoT, Cloud และหลากหลายเทคโนโลยีดิจิทัลแบบ Open Source รวมทั้งการพัฒนาและเชื่อมโยงธุรกิจหลักในทุกภาคอุตสาหกรรมผ่านเทคโนโลยียุคใหม่ และโครงข่าย 5G เช่น การศึกษา เกษตรกรรม การแพทย์ การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมต่างๆ ตลอดจนการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning (ML) ระดับโลกเข้ามามีบทบาทสำคัญในการร่วมพัฒนาประเทศและขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ทั้งกลุ่มธุรกิจ ลูกค้าผู้บริโภค และประชาชนชาวไทย ต่างได้รับประโยชน์สูงสุดจากศักยภาพของบริษัทใหม่
ขณะเดียวกัน การรวมธุรกิจครั้งนี้ จะเพิ่มโอกาสนำเทคโนโลยีดิจิทัลลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างประโยชน์ให้ทุกภาคส่วนร่วมกัน รวมถึงการเกิดขึ้นของศูนย์นวัตกรรมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลเทคโนโลยีระดับโลก และทำให้เกิดการจัดตั้งกองทุนวงเงินกว่า 7,300 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยที่มีศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมให้ประสบความสำเร็จพร้อมแข่งขันกับนานาประเทศทั่วโลก ตลอดจนเป็นช่องทางให้เข้าถึงคลังข้อมูลบนแพลตฟอร์มแห่งโอกาสที่ครอบคลุมประชากรกว่า 99% ในประเทศ
ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่เราตั้งใจร่วมกัน “เพื่อมอบสิ่งที่ดียิ่งกว่า ให้กับลูกค้าคนสำคัญทุกคน”
#อยู่ทรูยิ่งได้มากขึ้น
#ยิ่งรู้จักยิ่งรักทรู
#ย้ายมาทรูสู่ยุคใหม่ไปด้วยกัน
นับตั้งแต่วันที่ขวดพลาสติกบรรจุเครื่องดื่มผลิตขึ้นมา โลกของเราก็เปลี่ยนแปลงไป
การบริโภคเครื่องดื่มจากขวดพลาสติกนั้นแสนสะดวกสบาย ยอดขายเครื่องดื่มบรรจุขวดที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการผลิตขวดน้ำพลาสติกที่สูงขึ้นอย่างมหาศาล เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค และในที่สุดก็เป็นการสร้างขยะขวดพลาสติกที่กลายเป็นปัญหาสะสมมาเนิ่นนานอย่างที่ชาวโลกไม่รู้ตัว
ลองสังเกตง่าย ๆ ถ้าวันนี้เรากระหาย อยากดื่มเครื่องดื่มเพิ่มความรู้สึกสดชื่น เราก็มักจะเดินไปที่ร้านค้า หยิบน้ำดื่มหรือเครื่องดื่มบรรจุพลาสติกขึ้นมาแล้วเดินไปจ่ายเงิน ก่อนเปิดดื่ม และทิ้งขวดเหล่านั้นไปโดยอัตโนมัติ หนึ่งคำถามฉุกคิดคือ เราเคยย้อนมองกันไหมว่า ที่ผ่านมา เราทิ้งขวดพลาสติกกันมานานและมากแค่ไหนแล้ว และจุดหมายปลายทางของขวดพลาสติกเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร ทำไมทุกวันนี้เราถึงได้เห็นภาพขยะขวดพลาสติกและขยะอื่น ๆ กองกันเป็นภูเขาล้นโลก
การหลั่งไหลของพลาสติก
ตั้งแต่มีการเริ่มผลิตพลาสติกในช่วงทศวรรษที่ 20 มนุษย์เราได้ใช้ประโยชน์จากพลาสติกมากมาย และนำไปสู่ต้นกำเนิดของบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ปูทางให้เกิดการผลิตสินค้าในปริมาณมหาศาล สินค้านับไม่ถ้วนที่เราใช้ในปัจจุบันต่างก็ต้องพึ่งพาบรรจุภัณฑ์พลาสติกเพื่อความปลอดภัย พร้อมความสะดวกในการขนส่งและการบริโภค ซึ่งรวมถึงขวดพลาสติกบรรจุน้ำดื่มและเครื่องดื่มที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันเวลาผ่านไป สิ่งที่ตามมาจากความสะดวกสบายในการบริโภค คือขยะพลาสติกที่นับวันยิ่งล้นโลก ข้อมูลจาก Reuters ระบุว่า ในปี 2018 ปริมาณการใช้ขวดพลาสติกทั่วโลกในหนึ่งปีอยู่ที่ 481.6 พันล้านขวด ส่วนสถิติการใช้ขวดพลาสติกในประเทศไทยสูงถึงปีละ 4,000 ล้านขวด
รู้หรือไม่ว่า จำนวนขวดพลาสติกมหาศาลขนาดนี้ ไม่สามารถนำมารีไซเคิลได้ทั้งหมด ขยะพลาสติกเหล่านี้จะยังคงอยู่บนโลกของเราไปเป็นร้อยปี กว่าจะย่อยสลายไปด้วยตัวเอง
เรื่องจริงของขวดน้ำพลาสติก
หลาย ๆ คนอาจคิดว่า ขวดพลาสติกบรรจุเครื่องดื่ม สามารถรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ได้ใหม่ แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีข้อเท็จจริงอีกหลายประการที่ควรตระหนักให้มากขึ้น ลองมาดูข้อมูลน่ารู้เหล่านี้กัน
- ขวดพลาสติกที่นำไปรีไซเคิลได้มีเพียง 1 ใน 5 เท่านั้น ขวดพลาสติกที่รีไซเคิลไม่ได้จะกลายเป็นขยะและฝังกลบอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้
- ทุกวินาทีที่กำลังดำเนินไป จะมีขวดพลาสติกประมาณ 1,500 ขวดกลายเป็นขยะในบ่อฝังกลบหรือถูกโยนลงทะเล
- ขวดพลาสติก PET 1 ขวด ใช้เวลาถึง 700 ปีจึงจะเริ่มย่อยสลาย เพราะแบคทีเรียที่ช่วยในการย่อยวัสดุธรรมชาติ ไม่ชอบพลาสติกที่มีสารพื้นฐานจากปิโตรเลียม อาจกล่าวได้ว่า ขวดพลาสติกเหล่านี้อาจจะคงอยู่ตลอดไป
- ร้อยละ 90 ของขยะในทะเลที่พัดพาขึ้นมาตามชายหาดหลายๆ แห่งคือขวดน้ำพลาสติก โดยเฉพาะฝาที่ตกค้างอยู่ตามหาดทรายและซอกหิน
- แม้ว่าขวดพลาสติกจะนำไปรีไซเคิลได้ แต่กระบวนการรีไซเคิลต้องใช้พลังงานมหาศาล กลายเป็นส่วนหนึ่งในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในบรรยากาศ
ทรู ร่วมปรับเปลี่ยน เพื่อโลกที่ดีกว่า
ทรู เป็นหนึ่งในองค์กรไทยที่มุ่งเน้นการพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และนโยบายด้านความยั่งยืน ใน 3 มิติ คือ มิติด้านเศรษฐกิจ มิติด้านสังคม และมิติด้านสิ่งแวดล้อม โดยในด้านสิ่งแวดล้อม ทรูมีนโยบาย Net Zero Carbon โดยเฉพาะเรื่องการลดใช้พลาสติก ด้วยเป้าหมายลดการนำขวดพลาสติกเข้ามาในอาคารให้มากที่สุดจนเหลือเป็นศูนย์ ตอกย้ำความพร้อมเดินหน้าสู่การเป็นองค์กร Carbon Neutral ด้วยความมุ่งมั่นลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2573 ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายด้านความยั่งยืนของทรู
ทรูได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ด้วยความกล้าคิด กล้าทำ และใส่ใจสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุด พร้อมดูแลคุณภาพชีวิตของพนักงานทรู ควบคู่ไปกับการส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้สังคม และดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน หนึ่งในนั้นคือโครงการ Say No to Plastic Bottles
ดื่มน้ำกรอง RO สุดสะอาด ร่วมกัน Say No to Plastic Bottles
ทรู รวมพลังพนักงานร่วมกัน ลด ละ เลิกการใช้ขวดน้ำพลาสติก โดยหันมาพกแก้วน้ำและขวดน้ำส่วนตัวมาที่ออฟฟิศ เพื่อบรรจุน้ำกรองที่มีความบริสุทธิ์สำหรับดื่ม ที่ทรูจัดเตรียมไว้ให้พนักงานโดยเฉพาะ ซึ่งก็คือ RO Water นั่นเอง
โดย ทรู เลือกใช้อุปกรณ์มาตรฐานสูง และกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน สร้าง RO Water Plant เครื่องผลิตน้ำ RO + UV ด้วยกำลังการผลิต 24,000 ลิตรต่อวัน ผ่านมาตรฐาน NSF / ASME BPE ในห้องปลอดเชื้อ Class 100,000 ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย เพื่อผลิตน้ำดื่มคุณภาพสูงเทียบเท่าน้ำกลั่น มีความบริสุทธิ์สูง ไว้ให้พนักงานได้บริโภคอย่างมั่นใจ และใช้ท่อสแตนเลส 316L ซึ่งเป็นเกรดทางการแพทย์สำหรับจ่ายน้ำไปยังตู้กดน้ำมากกว่า 60 จุดกระจายทั่วทุกชั้นในอาคารทรู ทาวเวอร์ 1
พนักงานสามารถนำขวดหรือแก้วน้ำมาเติมน้ำดื่ม RO ที่สะอาด ถูกสุขอนามัย แทนการซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติก ซึ่งจากสถิติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขขยะประเภทขวดพลาสติกในอาคารทรู ทาวเวอร์ มีจำนวนเฉลี่ยปีละ 400,000 ขวด เมื่อพนักงานทรูร่วมใจกันคนละไม้คนละมือ ใน 1 ปี จะสามารถลดขยะพลาสติกได้ถึง 409,404 ขวด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ได้ถึง 53.54 ตัน
RO Water Plant นับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนให้ทรูบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายในการลดการใช้พลาสติก ในขณะเดียวกัน ยังสามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี สุขภาพที่ดี ให้แก่บุคลากรในองค์กรอีกด้วย
ตู้รีฟัน เปลี่ยนการทิ้งขวดพลาสติกเป็นพลังสร้างสรรค์
ส่วนใครที่เข้ามาติดต่ออาคารทรู หรือพนักงานที่ใช้ขวดน้ำดื่มพลาสติก ยังสามารถร่วมนำขวดพลาสติกแบบ PET ชนิดใส เช่น ขวดน้ำดื่ม น้ำอัดลม น้ำชา น้ำหวานต่าง ๆ มาหยอดคืนที่ Refun Machine หรือเรียกกันว่า ตู้รีฟัน ที่ทรูได้ติดตั้งไว้ที่บริเวณชั้น G อาคารทรู ทาวเวอร์ 1 เพื่อให้เครื่องตรวจสอบคิดเป็นแต้มสะสม เปลี่ยนการทิ้งเป็นพลังสร้างสรรค์ ทำให้การรีไซเคิลง่ายขึ้น เปลี่ยนขยะเป็นแต้มสะสม ไปแลกของรางวัลต่าง ๆ หรือร่วมบริจาคสำหรับทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ซึ่งขวดเหล่านั้นจะถูกนำไปย่อยสลายอย่างถูกวิธีต่อไป
หมู่บ้านห้วยมะเกลี้ยงเป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่อยู่บนภูเขาสูงใน ต.ป่างิ้ว อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ก่อนหน้านี้ชุมชนแห่งนี้ไม่มีแม้สัญญาณโทรศัพท์มือถือใดเข้าถึง แต่ด้วยความเชื่อมั่นว่า การสื่อสารจะเชื่อมโยงทุกคนให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงข้อมูลความรู้และบริการต่าง ๆ นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุก ๆ มิติ ทรู จึงเป็นผู้ให้บริการรายแรกและรายเดียวที่เข้ามาบุกเบิกติดตั้งเสาสัญญาณเครือข่าย เติมเต็มความสุขและความสะดวกสบายให้แก่ผู้คนในหมู่บ้านเล็ก ๆ อันห่างไกลแห่งนี้
เราจะพาไปสำรวจชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมของคนในชุมชนแห่งนี้ใน 3 มิติ ผ่าน 3 ตัวแทนของหมู่บ้าน ที่พร้อมต้อนรับและบอกเล่าเรื่องราวดี ๆ หลังจากที่มีเครือข่ายทรูเข้ามาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตและเพิ่มความสุขของพวกเขา
ชาวบ้านในชุมชนได้รับข่าวสารฉับไว และสื่อสารได้อย่างเท่าเทียม
ในยุคที่เราต่างกล่าวถึงการสื่อสารไร้พรมแดน แต่ชุมชนหมู่บ้านห้วยมะเกลี้ยงกลับถูกทิ้งไว้ข้างหลังมานานหลายปี เพียงเพราะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล
คุณสุวัฒน์ สิทธิบุญ ผู้ใหญ่บ้านชุมชนบ้านห้วยมะเกลี้ยง หรือที่คนในพื้นที่เรียกกันว่า “พ่อหลวง” รับหน้าที่หลักในการดูแลคนในพื้นที่ รวมถึงการติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานภายนอก และส่งข่าวสารให้กับคนในชุมชนบ้านห้วยมะเกลี้ยง คุณสุวัฒน์เล่าว่า แต่เดิมในหมู่บ้านไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ หากคนในหมู่บ้านต้องการติดต่อคนภายนอกต้องขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นไปหาสัญญาณบนดอยที่ไกลถึง 3 กิโลเมตร เมื่อเห็นความลำบากของชาวบ้าน จึงได้พยายามติดต่อผู้ให้บริการเครือข่าย และในที่สุด ทรู ก็เป็นรายเดียวที่ตอบรับและเร่งส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาติดตั้งเครือข่ายอย่างรวดเร็ว และมีสัญญาณแรงครอบคลุมพื้นที่ทุกครัวเรือนในหมู่บ้าน
ชาวบ้านต่างก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นที่สามารถติดต่อกับสื่อสารกับครอบครัวได้ตลอดเวลา เพราะมีสัญญาณโทรศัพท์และสัญญาณอินเทอร์เน็ตพร้อมให้ใช้งานได้ในพื้นที่ รวมไปถึงความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น เพราะทุกคนมีโอกาสได้เข้าถึงสื่อออนไลน์ได้เท่าเทียมกับคนในเมือง ได้อัปเดตข่าวสารและแสวงหาข้อมูลได้สะดวก จนต่อยอดเป็นอาชีพใหม่ หารายได้พิเศษจากการค้าขายออนไลน์ได้เช่นกัน
ว่ากันว่าการเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุด นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงที่ช่วยพลิกชีวิตของคนได้ ซึ่งชุมชนบ้านห้วยมะเกลี้ยงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นชัดเจน
“ผมดีใจที่ทรูเล็งเห็นความสำคัญของชุมชนที่อยู่ห่างไกล ทำให้พวกเราได้รับโอกาสเท่าเทียมกับหมู่บ้านที่อยู่ในเมืองได้ติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกได้อย่างสบายมากขึ้น ในนามตัวแทนของชุมชน ผมขอขอบคุณบริษัททรูที่มาติดตั้งเสาสัญญาณให้หมู่บ้านครับ” คุณสุวัฒน์เล่าถึงความรู้สึกพร้อมรอยยิ้ม
สร้างอาชีพ สร้างรายได้จากกิจการโฮมสเตย์ในท้องถิ่น
การที่ได้ทำงานที่รักในชุมชนถิ่นอาศัยถือเป็นหนึ่งความสุขของ คุณทองสุข บัวรพันธ์ หรือที่คนในพื้นที่เรียกกันว่า พ่อบุญธรรม ซึ่งเป็นประธานโฮมสเตย์ ชุมชนบ้านห้วยมะเกลี้ยง
ก่อนหน้าที่จะมีเครือข่ายทรูเข้ามา การทำโฮมสเตย์ในชุมชนที่อยู่บนภูเขาสูงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แม้โฮมสเตย์แห่งนี้น่าจะถูกใจนักท่องเที่ยวที่ต้องการดื่มด่ำธรรมชาติอันงดงามเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ แต่กลับยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะขาดการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อยุคใหม่ โดยยังต้องอาศัยการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์หน่วยงานภาครัฐ หรือรอให้นักท่องเที่ยวสายผจญภัยขับรถมาพบโดยบังเอิญ
เมื่อมีเครือข่ายทรูแล้ว กิจการโฮมสเตย์ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะการที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตทำให้คุณทองสุขสามารถประชาสัมพันธ์โฮมสเตย์ได้ผ่านในเครือข่ายสังคมออนไลน์ รวมทั้งยังติดต่อกับกรุ๊ปทัวร์ผ่านสัญญาณโทรศัพท์มือถือที่มีความเสถียรในทุกพื้นที่ของหมู่บ้านได้ตลอดเวลา ลดความหนักใจว่าจะมีปัญหาในการติดต่อกับภายนอกดังเช่นเมื่อก่อน
ไม่เพียงความสะดวกที่ทำให้คุณทองสุขดำเนินกิจการโฮมสเตย์ที่ตั้งใจทำได้อย่างราบรื่นเท่านั้น สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาพักที่โฮมสเตย์ชุมชนบ้านห้วยมะเกลี้ยง ก็สามารถติดต่อบุคคลภายนอกได้ง่าย นักท่องเที่ยวเพลิดเพลินไปกับการไลฟ์ถ่ายทอดบรรยากาศไปยังโซเชียลมีเดียของตัวเองเพื่อให้เพื่อน ๆ ได้เห็นความสวยงามของสถานที่แห่งนี้ไปด้วยกัน ด้วยสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ใช้งานได้ลื่นไหลเป็นอย่างดี
การได้ทำงานที่รักมีรายได้เลี้ยงตัวในชุมชนบ้านเกิด ทำให้คุณทองสุขได้กล่าวถึงความในใจที่มีต่อทรูไว้ว่า
“ทรูทำให้ความเป็นอยู่ของพวกเราดีขึ้นมากในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาชีพ ความเป็นอยู่ หรือการเจ็บป่วย เช่น ในหมู่บ้านเรามีคนเจ็บป่วยกะทันหัน ถ้าเป็นตอนที่ยังไม่มีเครือข่ายทรู ต้องนำคนป่วยใส่กระสอบป่านให้อยู่จุดกลาง เอาไม้มาใส่ หามกันสี่คนแล้วพาไปโรงพยาบาล ซึ่งการเดินทางจากหมู่บ้านลงไปในเมืองค่อนข้างลำบาก แต่ตอนนี้สบายมากครับ เราโทรศัพท์ไป กู้ภัยก็ขึ้นมาแล้ว ได้ประโยชน์หลายอย่างจริง ๆ ครับ ผมมีความสุขมาก”
สร้างแรงบันดาลใจและลงมือทำจริง เพื่อพัฒนาชีวิตและสิ่งแวดล้อมของชุมชนให้ดีขึ้น
การที่มีเครือข่ายสัญญาณที่ดี นอกจากการช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตแล้ว ยังเปิดโอกาสให้คนชุมชนได้ค้นคว้าหาข้อมูล และสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมของชุมชนให้ดีขึ้นได้อีกด้วย
เรื่องราวของ คุณธมลวรรณ พันยง หรือคุณอ้อม ตัวแทนจากคนในชุมชนที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและต้องการพัฒนาความเป็นอยู่ของคนในชุมชนให้ดีขึ้น เธอเล่าว่าแต่เดิมนั้นชาวบ้านในชุมชนมักปล่อยน้ำเสียจากครัวเรือนลงคลองของหมู่บ้าน จนเกิดปัญหาไขมันเป็นพิษในแหล่งน้ำของชุมชน เมื่อเครือข่ายทรูเข้ามาเธอจึงมีโอกาสได้ใช้อินเทอร์เน็ตในการหาค้นหาข้อมูลเพื่อแก้ปัญหานี้ จนเกิดแรงบันดาลใจไปสู่การทำบ่อดักไขมัน ซึ่งเธอลงมือทำเองโดยศึกษาวิธีการจากยูทูป
“การมีอินเทอร์เน็ตทำให้เราสามารถค้นหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมาย ได้ความรู้ใหม่ ๆ จนเกิดแรงบันดาลใจที่จะลงมือทำเพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมของชุมชนของเราให้ดีขึ้น”
เมื่อปัญหาต่าง ๆ ได้รับการคลี่คลาย ความสบายใจปรากฏ และนี่คือสิ่งที่คุณธมลวรรณอยากบอกกับทรู
“อ้อมรู้สึกเหมือนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง บอกไม่ถูกจริง ๆ เราเห็นหมู่บ้านนี้ตั้งแต่เล็ก ๆ แล้วค่ะ ไม่คิดว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ แบบนี้ ที่หลายบริษัทปฏิเสธมา แต่ทรูมองเห็นตรงนี้ เข้ามาติดตั้งเสาสัญญาณให้ ชาวบ้านทุกคนดีใจมากค่ะ หรือแม้กระทั่งตอนสัญญาณขัดข้อง แม้จะอยู่บนดอย เจ้าหน้าที่ของทรูก็มาดูแลให้เร็วมาก ๆ อยากจะบอกว่า ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ทรูมูฟ เอช”
การสื่อสารที่ทันสมัยไม่เพียงลดความเหลื่อมล้ำ แต่ยังสร้างโอกาส มอบความทัดเทียมให้กับผู้คนในชุมชนที่ห่างไกล ซึ่งมาพร้อมกับความสุขที่พวกเขาได้ชีวิตใหม่ และเกิดแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาชีวิต สิ่งแวดล้อม และชุมชนให้ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืน
เรื่องราวเหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้ ทรู เดินหน้าการขยายเครือข่ายให้กว้างไกลและครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วไทย รวมถึงในพื้นที่ห่างไกล เพื่อเป็นหนึ่งพลังสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้เท่าเทียมกันทั่วประเทศ
เพราะชีวิตในวันทำงานแต่ละวันของหลายๆคน ใช้เวลาอยู่ที่ทำงานมากกว่าที่บ้าน จะดีแค่ไหนถ้าวันที่มาทำงานที่ออฟฟิศก็เหมือนว่าเราอยู่ที่บ้าน จะเลือกนั่งทำงานอยู่ในพื้นที่ที่มองเห็นวิวดีที่สุดของอาคาร ล้อมวงคุยงานกับทีมได้แบบอิสระ แถมมีมุมผ่อนคลายให้พักสมองได้ตามใจต้องการ
เมื่อพฤติกรรมและวิถีการทำงานของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไป พื้นที่ทำงานในฝันจึงไม่ใช่โต๊ะกั้นพาร์ทิชันจำกัดกรอบพื้นที่ หรือโต๊ะทำงานประจำที่ต้องนั่งทำงานทุกวันอย่างจำเจ โดยที่ผ่านมามีงานวิจัยมากมายระบุว่า การที่พนักงานได้ทำงานในบรรยากาศที่ผ่อนคลายนั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น รวมทั้งเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างชัดเจน
ไม่น่าแปลกใจที่ออฟฟิศสวยงามทันสมัยในฝันของคนรุ่นใหม่กลายเป็นเทรนด์ที่องค์กรระดับโลกต่างพากันสร้างสรรค์ให้เป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นออฟฟิศของ Google, Apple, Lego หรือ Airbnb ที่ต่างก็เน้นความครีเอทีฟ และบรรยากาศสนุกสนาน กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับพนักงาน จนคล้ายเป็นบ้านหลังที่สอง
สำหรับในประเทศไทย ออฟฟิศในฝันของคนรุ่นใหม่เกิดขึ้นจริงได้เช่นกัน โดยเฉพาะในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานอย่างกลุ่มทรู
ทรู ให้ความสำคัญเรื่อง People และดูแลพนักงานในทุกมิติอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่พนักงานทำงานที่ทรู ซึ่งพื้นที่ทำงานเป็นหนึ่งในเรื่องที่ทรูสร้างสรรค์อย่างใส่ใจ เพื่อตอบโจทย์รูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ด้วยความเข้าใจที่แท้จริง โดยทรูได้รีโนเวทพื้นที่ออฟฟิศให้กว้างขวาง และทันสมัย ภายใต้แนวคิด Createch Living ให้พนักงานทรูทุกคนได้สัมผัสบรรยากาศการทำงานอย่างมีความสุขในทุก ๆ วัน
ออฟฟิศที่ออกแบบตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

และที่สำคัญ ก่อนที่จะออกแบบ Createch Living Space ต้องผ่านการเก็บข้อมูล Insight ความต้องการของพนักงาน และนำมาเป็นโจทย์เพื่อออกแบบให้ตรงความต้องการของพนักงานอย่างแท้จริง
พื้นที่ทำงานในแต่ชั้นจึงถูกเปลี่ยนโฉม เปิดมุมดีที่สุดและสวยที่สุดให้เป็นพื้นที่ทำงานที่พนักงานทุกคนสามารถเลือกใช้ได้อย่างอิสระ เน้นการตกแต่งที่สวยงามสบายตา ตอบโจทย์การทำงานที่หลากหลาย และพรั่งพร้อมด้วยกิจกรรมและสันทนาการที่ช่วยให้พนักงานได้ทำงานพร้อมกับสร้างสมดุลในการใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
นั่งทำงานในบรรยากาศไม่ซ้ำ เพราะทุกชั้นตกแต่งในธีมที่ต่างกัน



พื้นที่โล่ง เปิดมุมมอง เปิดหัวใจ สนับสนุนให้เกิดการทำงานร่วมกัน

ใกล้ชิดธรรมชาติ เพิ่มความสดชื่น ผ่อนคลาย สบายตา

จัดมุมสงบ สำหรับหลบมาโฟกัสงาน

เพิ่มความสนุก กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ไม่รู้จบ



บาลานซ์ชีวิตได้ดี แบบที่ท้องอิ่ม ทรงผมพร้อม อยากงีบนอนมีที่ให้พัก




เรื่องสุขภาพสำคัญ! ที่นี่ไม่ได้มีแค่ฟิตเนสเท่านั้น หมอกายภาพบำบัดก็มา

เทคโนโลยีที่ทันสมัยมีศักยภาพที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น แต่สำหรับคนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลอย่างชาวบ้านและเด็กนักเรียนที่อาศัยอยู่บนดอย บนภูเขา การมีเทคโนโลยีเข้ามาถึงนั้น เป็นมากกว่าความสะดวกสบาย เพราะเทคโนโลยียังเข้ามาช่วยเติมเต็มความฝันของเด็ก ๆ และคนในชุมชน ช่วยสร้างโอกาส สร้างงาน สร้างอาชีพใหม่ ๆ และสร้างความเท่าเทียมได้จริง
ด้วยเจตนารมย์ของกลุ่มทรูที่มุ่งมั่นลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและคุณภาพชีวิตของคนไทยให้เท่าเทียมกันทั่วประเทศ การขยายเครือข่ายอัจฉริยะ True 5G จึงกว้างไกลและครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วไทย รวมถึงในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้คนไทยได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G อย่างทั่วถึง ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
เมื่อทรูเข้าไปติดตั้งเครือข่าย True 5G ที่บ้านป่าซางนาเงิน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ชุมชนที่อยู่บนดอยสูงและห่างไกล การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชุมชนแห่งนี้ก็ได้เกิดขึ้น และเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่ผู้คนในชุมชนอยากถ่ายถอดให้ทุกคนได้ฟัง
เปิดโลกความรู้ เชื่อมต่อความร่วมมือ และสร้างอาชีพได้จริง ด้วยเทคโนโลยีส่งเสริมการเรียนแบบ Project Based Learning
เมื่อมีเครือข่าย True 5G พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาในโรงเรียน โรงเรียนป่าซางนาเงินจึงสามารถจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ Project based learning (PBL) ที่เน้นการสอนผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้โครงงานเป็นฐาน และเพิ่มประสบการณ์ในการปฏิบัติงานให้นักเรียนเหมือนกับการทำงานจริง
ครูทิ้ง – ศุภชัย บำรุง ครูจากมูลนิธิ Teach For Thailand รับหน้าที่สอนวิชาคณิตศาสตร์ ทักษะงานอาชีพเกษตร ทักษะงานอาชีพงานประดิษฐ์ เล่าว่า ปีการศึกษาที่ผ่านมา นักเรียนที่เรียนผ่านวิธี PBL ได้ใช้เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตในทำโครงงานที่พวกเขาสนใจ นั่นคือ การขายต้นบอน ไม้ประดับที่มีมากในท้องถิ่น
กลุ่มนักเรียนได้เริ่มจากการใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาข้อมูล และได้แลกเปลี่ยนความรู้กับกลุ่มคนรักบอน ไปจนถึงการเรียนการตลาดออนไลน์กับนักการตลาดที่เชี่ยวชาญ ในที่สุดก็เกิดโครงการเกษตร AKHAYA ซึ่งนักเรียนสามารถขายสินค้าออนไลน์และหารายได้นอกเวลาเรียนได้จริง ครูทิ้งได้เล่ารายละเอียดของโครงการนี้ว่า
“ชื่อ AKHAYA เป็นชื่อแบรนด์ที่นักเรียนคิดก่อนที่จะทำโครงการสร้างรายได้ด้วยไม้ประดับ ซึ่งชื่อนี้มีที่มาจากนักเรียนได้เรียนการตลาดออนไลน์กับนักการตลาด และได้คิดชื่อแบรนด์ว่า AKHAYA ซึ่งแปลว่า เด็กอาข่า เด็ก ๆ บอกว่า จำง่าย ฟังครั้งเดียวแล้วติดหูคน ส่วนโลโก้ AKHAYA นักเรียนต้องการสื่อสารความเป็นอาข่าของเขา มีการนำโต๊ะที่พังไปแล้วมาแกะสลักและนำลายผ้าอาข่ามาทำเป็นลายอะเคิ้ง ที่แปลว่า ใยแมงมุม และปรับสีให้ดูโมเดิร์นขึ้น เพื่อสร้างสรรค์งานคราฟต์ที่เป็นกระถางไม้ไผ่
“ส่วนไม้ประดับที่นักเรียนเลือกทำควบคู่กันไปด้วยคือ การเพาะปลูกต้นบอนพันธุ์ที่พบในภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งตรงนี้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนความรู้และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มคนรักบอนด้วย สิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับนักเรียนที่สุดคือ เขาสามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเอง”
ครูทิ้งกล่าวว่า ความสำเร็จเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีเครือข่าย True 5G เข้ามาสนับสนุนการศึกษาและพัฒนาชีวิตในชุมชนบ้านป่าซางนาเงิน
“โครงการเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้จากการที่เราได้ใช้อินเทอร์เน็ตในการหาข้อมูล การขายบนโลกออนไลน์ รวมถึงการเรียนรู้กับนักการตลาดมืออาชีพ ผ่านแพลตฟอร์ม True VRoom นอกจากนี้นักเรียนยังได้ช่วยกันออกแบบโลโก้ในไอแพดและนำเสนอผลงานให้ครูท่านอื่นดูผ่านสมาร์ททีวีหน้าจอใหญ่ ทุกอย่างสะดวกสบายกว่าเดิมมาก ผมรู้สึกประทับใจจริง ๆ ครับ”
ส่วนในมุมของนักเรียน ด.ช.ปฏิภาณ ยิลือ และ ด.ช.พงศกร แยม๊อ เล่าว่า พวกเขามีความภาคภูมิใจอย่างมากที่ได้ลงมือทำงานโครงการให้สำเร็จ และสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ถือเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากที่สุด
นอกจากเทคโนโลยีจะเป็นสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย ส่งเสริมให้เด็กนักเรียนหาความรู้ได้ตามความสนใจแล้ว เทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตยังช่วยสร้างรายได้ให้คนในชุมชนอีกด้วย
ชมความสนุกของการเรียนการสอนของ “ห้องเรียนบนดอย” สุดทันสมัยของโรงเรียนบ้านป่าซางนาเงิน พร้อมผลงานมากมายที่น่าสนใจของนักเรียนในห้องเรียนแห่งนี้ได้ในคลิปนี้
เทคโนโลยี 5G สร้างอาชีพใหม่ให้คนในชุมชนห่างไกลมีรายได้จากโลกออนไลน์
เราต่างรู้กันดีว่า โลกออนไลน์นั้น หากจับทางถูกก็สามารถสร้างอาชีพและหารายได้เลี้ยงตัวได้ อย่างเช่น คุณขวัญ - นราพร วิเศษไตรรัตน์ ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านป่าซางนาเงิน ที่ทำงานประจำไปพร้อมกับการขายของออนไลน์เป็นอาชีพเสริม สินค้าที่เธอนำมาขายคือ ชาเลือดมังกร
จุดเริ่มต้นของการขายชาเลือดมังกรของคุณขวัญ เกิดจากการที่เธอได้ชิมชานี้ที่บ้านเพื่อน จากนั้นจึงนำสมุนไพรนี้มาปลูกในชุมชน และทดลองให้คนรอบตัวลองดื่มและเห็นผลว่าบำรุงสุขภาพให้ดีขึ้นได้ จึงเริ่มผลิตขายให้กับคนรู้จักจนเกิดความคิดต่อยอดที่อยากขายชาเลือดมังกรให้คนทั่วไปได้นำไปบำรุงสุขภาพด้วย เมื่อ True 5G เข้ามาในชุมชนบ้านป่าซาง เธอจึงได้ใช้ประโยชน์ในการอินเทอร์เน็ตเพื่อโพสต์ขายสินค้าทางเฟซบุ๊ก จากนั้นก็เริ่มมีคนสั่งสินค้าเข้ามาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นอาชีพเสริมที่สร้างรายได้อีกทางให้กับครอบครัว
คุณขวัญเน้นว่า อาชีพเสริมนี้เกิดขึ้นได้เพราะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้ โดยเธอกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ขอบคุณ True 5G ที่ทำให้ชุมชนชนบทมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ดี ชาวบ้านก็หาช่องทางสร้างอาชีพเสริมได้ ตอนนี้คุยกับลูกค้าไม่สะดุด ไม่ว่าจะอยู่ที่หุบเขาหรือที่ไหนก็ปิดการขายได้รวดเร็วทันใจค่ะ”
เรื่องราวของคุณครู นักเรียน และผู้คนในชุมชนบ้านป่าซางนาเงิน จังหวัดเชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีที่ทันสมัย แม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล แต่ก็ยังมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลความรู้ต่างๆ ไม่เท่าเทียมกับคนในเมือง ดังความตั้งใจของ True 5G ที่พร้อมนำเทคโนโลยี ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย และเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างแท้จริง