True Together
หนึ่งเดือนที่ผ่านมาหลังจากการผสานศักยภาพของทรู-ดีแทคสู่ความเป็นหนึ่ง ภายใต้ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” นับเป็นหมุดหมายสำคัญของการก้าวสู่บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำในภูมิภาคโดยมุ่งพัฒนานวัตกรรม ดิจิทัล และบริการต่างๆ เพื่อเชื่อมโยงผู้บริโภคและธุรกิจสู่เป้าหมายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย พร้อมเดินหน้าส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลชั้นนำให้แก่ลูกค้าทั่วประเทศ ผ่านการนำเสนอสินค้า บริการ และโซลูชันดิจิทัลที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิตออนไลน์ในปัจจุบันและอนาคต
เริ่มต้นจากคุณภาพสัญญาณที่ดียิ่งขึ้นในทันที
วันนี้ไม่ว่าลูกค้าทรูหรือดีแทคก็สามารถใช้สัญญาณคุณภาพดีขึ้นทันที ซึ่งเป็นก้าวแรกในการพัฒนาคุณภาพอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนมือถือด้วยการ “โรมมิ่ง” สัญญาณข้ามโครงข่ายเพื่อใช้งาน 5G และ 4G บนคลื่น 2600 MHz และ 700 MHz โดยลูกค้าดีแทคสามารถใช้งาน 5G บนคลื่น 2600 MHz และลูกค้าทรูสามารถใช้งาน 5G และ 4G บนคลื่น 700 MHz ซึ่งเปิดให้บริการแล้วทั้ง 77 จังหวัด
นอกจากนี้ ด้วยวิสัยทัศน์ของ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” คือการมุ่งเป็นผู้นำเทคโนโลยีโทรคมนาคม ที่จะเปลี่ยนผ่านวิถีชีวิตคนไทย และขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวสู่แถวหน้าของเศรษฐกิจดิจิทัล จึงเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลปลดล็อกประเทศสู่การเติบโตในระยะยาว เร่งขยายการให้บริการ 5G ครอบคลุมพื้นที่ 98% ในปี พ.ศ. 2569 ปูทางให้ประเทศไทยก้าวสู่ความเป็นผู้นำแนวหน้าในโลกดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เพราะความพึงพอใจของลูกค้าคือพลังใจยิ่งใหญ่ของทรูและดีแทค
ตามรายงานของทรูและดีแทคพบว่ากระแสตอบรับความพึงพอใจของลูกค้าเพิ่มอย่างต่อเนื่องหลังจากผสานพลังรวมกัน 1+1 เท่ากับ อินฟินิตี้ สร้างศักยภาพความเป็นไปได้ใหม่ที่ไม่รู้จบ มีอัตราเติบโตที่สะท้อนความพึงพอใจของลูกค้าดีเกินคาด ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ดังนี้
- ลูกค้าดีแทคและทรูมากกว่า 12 ล้านหมายเลขสัมผัสประสบการณ์ดียิ่งขึ้นจากการโรมมิ่งทั่วประเทศ
- ลูกค้ารับสิทธิพิเศษทั้งทรูและดีแทครวมมากกว่า 20 ล้านรายการ
- ยอดผู้ใช้งานดิจิทัลแพลตฟอร์มเพิ่มอีกมากกว่า 5 แสนราย
- แพลตฟอร์ม Gaming Nation มีผู้ใช้งานใหม่เพิ่มอีก 25%
- เพิ่มร้านค้าจุดแลกรับสิทธิประโยชน์เป็น 2 เท่าจากเดิม (ภายในไตรมาส 2/2566)
ขยายเวลาแห่งความสุขกับสิทธิพิเศษที่ดียิ่งขึ้นสำหรับลูกค้าทรูและดีแทค
จากกระแสที่ลูกค้าของเราให้ความสนใจกับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เกินคาดหมาย โดยช่วงราว 1 เดือนที่ผ่านมายอดลูกค้าทั้งทรูและดีแทคได้แลกรับสิทธิพิเศษรวมกันมากกว่า 20 ล้านรายการ โดยมาจากทั้งแคมเปญสุขยิ่งกว่า เมื่อมีกันและกัน คือ ดูฟรี ดื่มฟรี เน็ตฟรี แล้วยังรวมถึงสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย จากทรูยู และดีแทครีวอร์ด ตามปกติ ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษที่คัดสรรมาครอบคลุมหมวดหมู่ทุกไลฟ์สไตล์
ทรูได้ขยายการมอบสิทธิพิเศษต่างๆ ให้มากและหลากหลายยิ่งขึ้น โดยภายในไตรมาส 2 จะเพิ่มจำนวนร้านค้า เพื่อลูกค้าทรูและดีแทคจะได้แลกรับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิม ทั้งร้านค้าใกล้บ้าน และในศูนย์การค้าทุกภาค ทั่วไทย รวมถึงที่สนามบิน นอกจากนี้ ยังมอบแคมเปญอิ่มสุขไปด้วยกัน สำหรับแลกสิทธิพิเศษลดมื้อเด่น ลดร้านดัง และลดค่าจอดรถ ที่ศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัลทุกสาขา โดยเริ่ม 1 เมษายน - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2566
สิ่งเหล่านี้คือคำขอบคุณของทรูและดีแทค ที่มุ่งมั่นผสานพลัง ร่วมสร้างศักยภาพความเป็นไปได้ใหม่ไม่สิ้นสุดไปด้วยกัน
ตั้งแต่โลกเริ่มเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล มีธุรกิจสตาร์ทอัพจำนวนมากเกิดขึ้นทั่วโลก สำหรับประเทศไทย กระแสสตาร์ทอัพมาแรงตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน มีสตาร์ทอัพสัญชาติไทยแจ้งเกิดจำนวนมาก แต่ที่สามารถเติบโตและขยายธุรกิจได้กลับมีน้อยราย ซึ่งสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญและจำเป็นที่จะช่วยให้สตาร์ทอัพเกิดและเติบโตได้อย่างมีคุณภาพก็คือ ระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ หรือ Startup Ecosystem
ทรู เป็นองค์กรเอกชนที่มีวิสัยทัศน์ก้าวสู่การเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี โดยหนึ่งในความมุ่งมั่นที่สำคัญ คือ การสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของ Tech Startup ในระดับภูมิภาค เพราะเชื่อว่ากลุ่มสตาร์ทอัพจะเป็นนักรบเศรษฐกิจรุ่นใหม่ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศได้ จึงเป็นที่มาของการลงทุนเพื่อสร้าง Startup Ecosystem ของไทย ซึ่งก็คือ ทรู ดิจิทัล พาร์ค (True Digital Park) นั่นเอง
ทรู ดิจิทัล พาร์ค เป็นศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน มีระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพที่สมบูรณ์แบบครบวงจรในพื้นที่เดียว โดยรวบรวมทั้ง บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัย นักลงทุน หน่วยงานภาครัฐ และสตาร์ทอัพผู้ประกอบการเทค อยู่ร่วมกันในระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกันภายใต้แนวคิด “Open Innovation” เพื่อหลอมรวมและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพให้เกิดขึ้นและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
นับเป็นพื้นที่เพื่อการพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่เกิดขึ้นจากการลงทุนของเอกชนโครงการแรกของประเทศไทย ขณะที่โครงการอื่น ๆ ทั่วโลกล้วนเกิดจากการสนับสนุนของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่ง ทรู ดิจิทัล พาร์ค มีความเพียบพร้อมของระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพครอบคลุมทุกมิติ
พื้นที่สร้างสรรค์นวัตกรรม สนับสนุนการทำงาน และสร้างชุมชนสตาร์ทอัพ
แน่นอนว่า สตาร์ทอัพที่เริ่มต้นทำธุรกิจอาจจะยังไม่มีสถานที่ทำงานเป็นของตัวเอง ทรู ดิจิทัล พาร์ค จึงเปิดพื้นที่ทำงาน ที่สนับสนุนให้สตาร์ทอัพในหลากหลายธุรกิจได้มารวมตัวในพื้นที่เดียวกัน และเกิดเป็นชุมชนสตาร์ทอัพ หรือ Startup Community ที่เปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนแนวคิดและเอื้อต่อการต่อยอดธุรกิจร่วมกันได้
ทรู ดิจิทัล พาร์ค ออกแบบพื้นที่ด้วยแนวคิด “Tomorrow Life Campus” ที่จะปลุกพลังคนรุ่นใหม่ให้ก้าวไปพร้อมกับนวัตกรรมดิจิทัลแห่งอนาคต และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคดิจิทัล ภายในมีการเปิดพื้นที่ให้สตาร์ทอัพใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ มีพื้นที่ทำงานที่เป็น Co-working Space รวมถึงพื้นที่ออฟฟิศหลากหลายขนาดที่รองรับได้ทั้งออฟฟิศขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ที่ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกร่วมกันได้ เพื่อรองรับสตาร์ทอัพขนาดเล็กที่ต้องการทำงานแบบประจำ ไปจนถึงออฟฟิศที่สามารถรองรับคนได้ถึง 2,000 คน ตอบโจทย์สตาร์ทอัพขนาดใหญ่ แต่ละชั้นมีบันไดเชื่อมถึงกัน พร้อมพื้นที่ส่วนกลาง ทั้งห้องประชุมหลากหลายขนาดที่มีอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างครบครัน สนับสนุนการพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์เป็นเครือข่ายชุมชนสตาร์ทอัพ
เติมเต็มความรู้แก่สตาร์ทอัพและคนรุ่นใหม่ ผ่านศูนย์รวมสถาบันการเรียนรู้ด้านดิจิทัลระดับโลก
หนึ่งในการสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์แบบเพื่อสตาร์ทอัพ คือการเปิดโอกาสการเรียนรู้และเพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลให้แก่สตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการเทค และคนรุ่นใหม่ที่สนใจเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งทรู ดิจิทัล พาร์ค ได้ร่วมมือกับพันธมิตรองค์กรเทคโนโลยีดิจิทัลระดับแนวหน้าของประเทศและของโลก เปิด “ศูนย์รวมสถาบันการเรียนรู้ด้านดิจิทัลระดับโลก” (True Digital Park House of Digital Academy) แห่งแรกและแห่งเดียวในไทย ซึ่งเป็นศูนย์รวมทุกโอกาสการเรียนรู้และเพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล ให้ผู้ที่สนใจได้เรียนรู้และอัปสกิลด้านดิจิทัล เพื่อสร้างบุคลากรของประเทศให้มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและตอบโจทย์องค์กรต่างๆที่เร่งทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล เตรียมพร้อมรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมและการลงทุนในยุค 4.0
ความร่วมมือในครั้งนี้ มีองค์กรพันธมิตรทั้งในไทยและระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Alibaba Cloud Thailand, Amazon Web Services, Cisco System (Thailand), Google Thailand, Huawei Cloud Thailand, Microsoft (Thailand), Mitsubishi, Sea (Thailand), True Digital Academy, Bit.studio, Tellscore, สมาคมโปรแกรมเมอร์ไทย และการตลาดวันละตอน ร่วมกันยกระดับความรู้และทักษะด้านดิจิทัลของคนไทย ช่วยเพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เร่งสปีดสตาร์ทอัพเติบโตด้วยโปรแกรม Startup Sandbox
นอกเหนือจากเรื่องพื้นที่ทำงาน ที่ตอบโจทย์เวิร์กสไตล์ของสตาร์ทอัพแล้ว ทรู ดิจิทัล พาร์ค ยังเร่งเพิ่มศักยภาพการเติบโต พร้อมสร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ผ่านหลักสูตร และกิจกรรม อาทิ Startup Sandbox โปรแกรมระยะสั้น กดที่เป็นความร่วมมือระหว่างทรู ดิจิทัล พาร์ค และองค์กรขนาดใหญ่ สถาบันการศึกษา หรือ หน่วยงานภาครัฐ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้สตาร์ทอัพในประเทศไทย ด้วยพื้นที่ทำงาน แหล่งความรู้ ชุมชนสตาร์ทอัพ และโอกาสในการพบกูรูผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ รวมถึงเหล่านักลงทุน เพื่อให้สตาร์ทอัพสามารถต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
โปรแกรม Startup Sandbox ไม่เพียงแค่ช่วยบ่มเพาะสตาร์ทอัพ แต่ยังส่งเสริมการนำเทคโนโลยีสื่อสารและดิจิทัลล้ำสมัยมาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของผู้คนหรือสำหรับภาคธุรกิจด้วย อย่างเช่น ในยุคที่ 5G สามารถพลิกมิติใหม่ของภาคอุตสาหกรรม True Digital Park ได้ร่วมมือกับ True 5G จัดเวทีประชันไอเดีย เช่น True5G Tech Sandbox ให้ผู้ที่สนใจร่วมสร้างสรรรค์นวัตกรรมโซลูชันเพื่อคนไทย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิต เมืองอัจฉริยะ การศึกษา การค้าปลีก เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ซึ่งผู้ที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโปรแกรม Sandbox นี้ ได้เรียนรู้ในการนำอัจฉริยภาพของเทคโนโลยี 5G ผสานเทคโนโลยีดิจิทัลหลากหลาย ต่อยอดไอเดียและลงมือพัฒนา ให้เกิดเป็นนวัตกรรมสินค้าหรือบริการที่ใช้งานได้จริง โดยมีผู้เชี่ยวชาญในวงการให้คำแนะนำ สนับสนุน ช่วยเหลือ พร้อมโอกาสได้รับเงินลงทุนจากนักลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจและสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตไปด้วยกัน
TDPK One Stop Service for Startups ช่วยธุรกิจเดินหน้าไม่สะดุด
ทรู ดิจิทัล พาร์ค มีบริการ TDPK One Stop Service for Startups ศูนย์ให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาในการดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพในด้านต่าง ๆ อาทิ การขอสมาร์ทวีซ่า บัญชีและกฎหมาย สิทธิประโยชน์ทางภาษีและการส่งเสริมการลงทุน การหาพันธมิตรทางธุรกิจ การจัดหาทีมงานหรือบุคลากรสายเทค บริการคลาวด์ และโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สนับสนุนในเรื่องสิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับบริษัทที่จะเข้ามาอยู่ในทรู ดิจิทัล พาร์ค นอกจากนี้ ยังมีสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ที่เข้ามาเปิดศูนย์บริการเพื่อรองรับผู้ประกอบการที่สนใจจะเข้าไปสู่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ศูนย์แห่งนี้จะเชื่อมโยงและอำนวยความสะดวกให้สตาร์ทอัพเข้าถึงหลาย ๆ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐ ที่มีส่วนสำคัญการในสนับสนุน ส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ สนับสนุนทางด้านเทคโนโลยี พาออกตลาดต่างประเทศ ตลอดจนออกกฎเกณฑ์ทางด้านข้อปฎิบัติ และกฎหมายต่าง ๆ ที่เอื้อประโยชน์ต่อการสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพ
ระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ ที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่สุด
ทรู ดิจิทัล พาร์ค ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสนับสนุนสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่อง โดยเปิด ทรู ดิจิทัล พาร์ค เวสต์ ประเดิมด้วยพื้นที่จัดงานอีเวนต์และการประชุม โดยมีการจัดสรรพื้นที่ที่หลากหลาย รองรับได้ทั้งงานแสดง งานประชุม งานเสวนา หรือเวิร์กช็อปทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ และคอนเวนชันฮอลล์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีครบครัน และล่าสุดกับ ห้องสมุดมีชีวิต TK PARK รองรับทั้งการทำงาน การศึกษา และเป็นพื้นที่เชิงการเรียนรู้ครบวงจร รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สีเขียว สวนลอยฟ้า และร้านค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่า ทรู ดิจิทัล พาร์ค ส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ ที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่สุด
ทรู เชื่อมั่นในศักยภาพของสตาร์ทอัพไทย และมุ่งมั่นสร้างสรรค์ให้ทรู ดิจิทัล พาร์ค มีระบบนิเวศเพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพที่สมบูรณ์แบบ เอื้อต่อการพัฒนาด้านดิจิทัลของไทย พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางของ Tech Startup ในระดับภูมิภาค และนำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย
คลิกดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทรู ดิจิทัล พาร์ค ได้ที่นี่
อ้างอิง
- https://www.thestorythailand.com/07/11/2022/80898
- https://www.facebook.com/ThailandStartup/posts/2064534536890206
- https://www.truedigitalpark.com/insights/news-and-promotions/187/tdpk-open-house-of-digital-academ
- https://urbancreature.co/true-digital-park-event-space/
หมู่บ้านห้วยมะเกลี้ยงเป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่อยู่บนภูเขาสูงใน ต.ป่างิ้ว อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ก่อนหน้านี้ชุมชนแห่งนี้ไม่มีแม้สัญญาณโทรศัพท์มือถือใดเข้าถึง แต่ด้วยความเชื่อมั่นว่า การสื่อสารจะเชื่อมโยงทุกคนให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงข้อมูลความรู้และบริการต่าง ๆ นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุก ๆ มิติ ทรู จึงเป็นผู้ให้บริการรายแรกและรายเดียวที่เข้ามาบุกเบิกติดตั้งเสาสัญญาณเครือข่าย เติมเต็มความสุขและความสะดวกสบายให้แก่ผู้คนในหมู่บ้านเล็ก ๆ อันห่างไกลแห่งนี้
เราจะพาไปสำรวจชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมของคนในชุมชนแห่งนี้ใน 3 มิติ ผ่าน 3 ตัวแทนของหมู่บ้าน ที่พร้อมต้อนรับและบอกเล่าเรื่องราวดี ๆ หลังจากที่มีเครือข่ายทรูเข้ามาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตและเพิ่มความสุขของพวกเขา
ชาวบ้านในชุมชนได้รับข่าวสารฉับไว และสื่อสารได้อย่างเท่าเทียม
ในยุคที่เราต่างกล่าวถึงการสื่อสารไร้พรมแดน แต่ชุมชนหมู่บ้านห้วยมะเกลี้ยงกลับถูกทิ้งไว้ข้างหลังมานานหลายปี เพียงเพราะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล
คุณสุวัฒน์ สิทธิบุญ ผู้ใหญ่บ้านชุมชนบ้านห้วยมะเกลี้ยง หรือที่คนในพื้นที่เรียกกันว่า “พ่อหลวง” รับหน้าที่หลักในการดูแลคนในพื้นที่ รวมถึงการติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานภายนอก และส่งข่าวสารให้กับคนในชุมชนบ้านห้วยมะเกลี้ยง คุณสุวัฒน์เล่าว่า แต่เดิมในหมู่บ้านไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ หากคนในหมู่บ้านต้องการติดต่อคนภายนอกต้องขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นไปหาสัญญาณบนดอยที่ไกลถึง 3 กิโลเมตร เมื่อเห็นความลำบากของชาวบ้าน จึงได้พยายามติดต่อผู้ให้บริการเครือข่าย และในที่สุด ทรู ก็เป็นรายเดียวที่ตอบรับและเร่งส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาติดตั้งเครือข่ายอย่างรวดเร็ว และมีสัญญาณแรงครอบคลุมพื้นที่ทุกครัวเรือนในหมู่บ้าน
ชาวบ้านต่างก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นที่สามารถติดต่อกับสื่อสารกับครอบครัวได้ตลอดเวลา เพราะมีสัญญาณโทรศัพท์และสัญญาณอินเทอร์เน็ตพร้อมให้ใช้งานได้ในพื้นที่ รวมไปถึงความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น เพราะทุกคนมีโอกาสได้เข้าถึงสื่อออนไลน์ได้เท่าเทียมกับคนในเมือง ได้อัปเดตข่าวสารและแสวงหาข้อมูลได้สะดวก จนต่อยอดเป็นอาชีพใหม่ หารายได้พิเศษจากการค้าขายออนไลน์ได้เช่นกัน
ว่ากันว่าการเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุด นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงที่ช่วยพลิกชีวิตของคนได้ ซึ่งชุมชนบ้านห้วยมะเกลี้ยงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นชัดเจน
“ผมดีใจที่ทรูเล็งเห็นความสำคัญของชุมชนที่อยู่ห่างไกล ทำให้พวกเราได้รับโอกาสเท่าเทียมกับหมู่บ้านที่อยู่ในเมืองได้ติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกได้อย่างสบายมากขึ้น ในนามตัวแทนของชุมชน ผมขอขอบคุณบริษัททรูที่มาติดตั้งเสาสัญญาณให้หมู่บ้านครับ” คุณสุวัฒน์เล่าถึงความรู้สึกพร้อมรอยยิ้ม
สร้างอาชีพ สร้างรายได้จากกิจการโฮมสเตย์ในท้องถิ่น
การที่ได้ทำงานที่รักในชุมชนถิ่นอาศัยถือเป็นหนึ่งความสุขของ คุณทองสุข บัวรพันธ์ หรือที่คนในพื้นที่เรียกกันว่า พ่อบุญธรรม ซึ่งเป็นประธานโฮมสเตย์ ชุมชนบ้านห้วยมะเกลี้ยง
ก่อนหน้าที่จะมีเครือข่ายทรูเข้ามา การทำโฮมสเตย์ในชุมชนที่อยู่บนภูเขาสูงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แม้โฮมสเตย์แห่งนี้น่าจะถูกใจนักท่องเที่ยวที่ต้องการดื่มด่ำธรรมชาติอันงดงามเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ แต่กลับยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะขาดการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อยุคใหม่ โดยยังต้องอาศัยการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์หน่วยงานภาครัฐ หรือรอให้นักท่องเที่ยวสายผจญภัยขับรถมาพบโดยบังเอิญ
เมื่อมีเครือข่ายทรูแล้ว กิจการโฮมสเตย์ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะการที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตทำให้คุณทองสุขสามารถประชาสัมพันธ์โฮมสเตย์ได้ผ่านในเครือข่ายสังคมออนไลน์ รวมทั้งยังติดต่อกับกรุ๊ปทัวร์ผ่านสัญญาณโทรศัพท์มือถือที่มีความเสถียรในทุกพื้นที่ของหมู่บ้านได้ตลอดเวลา ลดความหนักใจว่าจะมีปัญหาในการติดต่อกับภายนอกดังเช่นเมื่อก่อน
ไม่เพียงความสะดวกที่ทำให้คุณทองสุขดำเนินกิจการโฮมสเตย์ที่ตั้งใจทำได้อย่างราบรื่นเท่านั้น สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาพักที่โฮมสเตย์ชุมชนบ้านห้วยมะเกลี้ยง ก็สามารถติดต่อบุคคลภายนอกได้ง่าย นักท่องเที่ยวเพลิดเพลินไปกับการไลฟ์ถ่ายทอดบรรยากาศไปยังโซเชียลมีเดียของตัวเองเพื่อให้เพื่อน ๆ ได้เห็นความสวยงามของสถานที่แห่งนี้ไปด้วยกัน ด้วยสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ใช้งานได้ลื่นไหลเป็นอย่างดี
การได้ทำงานที่รักมีรายได้เลี้ยงตัวในชุมชนบ้านเกิด ทำให้คุณทองสุขได้กล่าวถึงความในใจที่มีต่อทรูไว้ว่า
“ทรูทำให้ความเป็นอยู่ของพวกเราดีขึ้นมากในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาชีพ ความเป็นอยู่ หรือการเจ็บป่วย เช่น ในหมู่บ้านเรามีคนเจ็บป่วยกะทันหัน ถ้าเป็นตอนที่ยังไม่มีเครือข่ายทรู ต้องนำคนป่วยใส่กระสอบป่านให้อยู่จุดกลาง เอาไม้มาใส่ หามกันสี่คนแล้วพาไปโรงพยาบาล ซึ่งการเดินทางจากหมู่บ้านลงไปในเมืองค่อนข้างลำบาก แต่ตอนนี้สบายมากครับ เราโทรศัพท์ไป กู้ภัยก็ขึ้นมาแล้ว ได้ประโยชน์หลายอย่างจริง ๆ ครับ ผมมีความสุขมาก”
สร้างแรงบันดาลใจและลงมือทำจริง เพื่อพัฒนาชีวิตและสิ่งแวดล้อมของชุมชนให้ดีขึ้น
การที่มีเครือข่ายสัญญาณที่ดี นอกจากการช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตแล้ว ยังเปิดโอกาสให้คนชุมชนได้ค้นคว้าหาข้อมูล และสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมของชุมชนให้ดีขึ้นได้อีกด้วย
เรื่องราวของ คุณธมลวรรณ พันยง หรือคุณอ้อม ตัวแทนจากคนในชุมชนที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและต้องการพัฒนาความเป็นอยู่ของคนในชุมชนให้ดีขึ้น เธอเล่าว่าแต่เดิมนั้นชาวบ้านในชุมชนมักปล่อยน้ำเสียจากครัวเรือนลงคลองของหมู่บ้าน จนเกิดปัญหาไขมันเป็นพิษในแหล่งน้ำของชุมชน เมื่อเครือข่ายทรูเข้ามาเธอจึงมีโอกาสได้ใช้อินเทอร์เน็ตในการหาค้นหาข้อมูลเพื่อแก้ปัญหานี้ จนเกิดแรงบันดาลใจไปสู่การทำบ่อดักไขมัน ซึ่งเธอลงมือทำเองโดยศึกษาวิธีการจากยูทูป
“การมีอินเทอร์เน็ตทำให้เราสามารถค้นหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมาย ได้ความรู้ใหม่ ๆ จนเกิดแรงบันดาลใจที่จะลงมือทำเพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมของชุมชนของเราให้ดีขึ้น”
เมื่อปัญหาต่าง ๆ ได้รับการคลี่คลาย ความสบายใจปรากฏ และนี่คือสิ่งที่คุณธมลวรรณอยากบอกกับทรู
“อ้อมรู้สึกเหมือนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง บอกไม่ถูกจริง ๆ เราเห็นหมู่บ้านนี้ตั้งแต่เล็ก ๆ แล้วค่ะ ไม่คิดว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ แบบนี้ ที่หลายบริษัทปฏิเสธมา แต่ทรูมองเห็นตรงนี้ เข้ามาติดตั้งเสาสัญญาณให้ ชาวบ้านทุกคนดีใจมากค่ะ หรือแม้กระทั่งตอนสัญญาณขัดข้อง แม้จะอยู่บนดอย เจ้าหน้าที่ของทรูก็มาดูแลให้เร็วมาก ๆ อยากจะบอกว่า ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ทรูมูฟ เอช”
การสื่อสารที่ทันสมัยไม่เพียงลดความเหลื่อมล้ำ แต่ยังสร้างโอกาส มอบความทัดเทียมให้กับผู้คนในชุมชนที่ห่างไกล ซึ่งมาพร้อมกับความสุขที่พวกเขาได้ชีวิตใหม่ และเกิดแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาชีวิต สิ่งแวดล้อม และชุมชนให้ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืน
เรื่องราวเหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้ ทรู เดินหน้าการขยายเครือข่ายให้กว้างไกลและครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วไทย รวมถึงในพื้นที่ห่างไกล เพื่อเป็นหนึ่งพลังสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้เท่าเทียมกันทั่วประเทศ
นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของคนไทยและประเทศไทยที่จะมีโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่ดีระดับโลก ต่อยอดสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ได้ใช้นวัตกรรม บริการ และเทคโนโลยีใหม่ๆ หลังการรวมบมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และบมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (“ทรู-ดีแทค”) ซึ่งภายหลังการประกาศรวมธุรกิจที่จะต้องเดินหน้าร่วมกันเพื่อก้าวสู่ความเป็นเทคคอมปานี มอบสิ่งที่ดีกว่าให้กับลูกค้าและนำพาชาวไทยเปลี่ยนสู่ชีวิตดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้น เมื่อทรูและดีแทคได้ดำเนินการรวมธุรกิจตามขั้นตอน พร้อมเป็นบริษัทใหม่ ที่ยังคงมีทั้งแบรนด์ทรูและดีแทคแล้ว จะเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นว่า “เมื่อเรารวมกัน ทุกสิ่งจะดียิ่งกว่า”
เราเชื่อว่า สิ่งที่มาพร้อมกับการรวมธุรกิจ ไม่ใช่มีเพียงแค่การเกิดขึ้นของบริษัทใหม่เท่านั้น แต่เป็นการนำความฝันในยุคดิจิทัลมาทำให้เป็นจริง เพราะเราจะนำศักยภาพที่แข็งแกร่งมารวมกันเพื่อสร้างสิ่งที่ดียิ่งกว่าเดิม
สิ่งที่ลูกค้าทรู จะได้รับทันทีหลังการรวมธุรกิจ คือ เครือข่ายคุณภาพที่กว้างขึ้น เชื่อมโยงครบทุกคลื่นความถี่ ครอบคลุมยิ่งขึ้นกว่าเดิม จากการที่บริษัทใหม่นี้จะก้าวเป็นผู้ให้บริการซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อันจะทำให้สามารถรองรับไลฟ์สไตล์ชีวิตดิจิทัลที่กำลังขยายตัวไปสู่ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงโอกาสการสร้างนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ลูกค้าทรูซึ่งปัจจุบันมีสิทธิพิเศษจากบริการที่หลากหลายของกลุ่มทรู ทั้งทรูมูฟ เอช ทรูออนไลน์ ทรูวิชั่นส์ ทรูไอดี ทรูมันนี่ ทรูดิจิทัล ทรูคอฟฟี่ รวมทั้งทรูยูแล้ว ยังจะได้รับสิทธิพิเศษที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะจากการรวมธุรกิจจะเป็นการรวมพันธมิตรรายใหม่เพิ่มเติมยิ่งขึ้น ตอบโจทย์หลากหลายไลฟ์สไตล์ที่ครบครันยิ่งกว่าเดิม
ลูกค้าทรู ยังจะมีโอกาสที่จะได้รับการพัฒนาบริการที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม จากการนำเทคโนโลยี และประสบการณ์ ด้านการบริการในธุรกิจโทรคมนาคมจากทั่วโลกทั้งจากผู้ร่วมทุนและพันธมิตรรายใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเพิ่มศักยภาพให้กับบริษัทใหม่ในการพัฒนาขีดความสามารถให้หลากหลายครอบคลุมไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของลูกค้าครบในทุกมิติ
ยิ่งไปกว่านั้น การก้าวสู่ความเป็นเทคคอมปานีของบริษัทใหม่นี้ ยังเพิ่มขีดความสามารถในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่รูปแบบดิจิทัล ทั้งการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่ครบวงจร เพื่อเชื่อมต่อคน ธุรกิจ สังคม และเศรษฐกิจ ผ่าน IoT, Cloud และหลากหลายเทคโนโลยีดิจิทัลแบบ Open Source รวมทั้งการพัฒนาและเชื่อมโยงธุรกิจหลักในทุกภาคอุตสาหกรรมผ่านเทคโนโลยียุคใหม่ และโครงข่าย 5G เช่น การศึกษา เกษตรกรรม การแพทย์ การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมต่างๆ ตลอดจนการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning (ML) ระดับโลกเข้ามามีบทบาทสำคัญในการร่วมพัฒนาประเทศและขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ทั้งกลุ่มธุรกิจ ลูกค้าผู้บริโภค และประชาชนชาวไทย ต่างได้รับประโยชน์สูงสุดจากศักยภาพของบริษัทใหม่
ขณะเดียวกัน การรวมธุรกิจครั้งนี้ จะเพิ่มโอกาสนำเทคโนโลยีดิจิทัลลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างประโยชน์ให้ทุกภาคส่วนร่วมกัน รวมถึงการเกิดขึ้นของศูนย์นวัตกรรมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลเทคโนโลยีระดับโลก และทำให้เกิดการจัดตั้งกองทุนวงเงินกว่า 7,300 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยที่มีศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมให้ประสบความสำเร็จพร้อมแข่งขันกับนานาประเทศทั่วโลก ตลอดจนเป็นช่องทางให้เข้าถึงคลังข้อมูลบนแพลตฟอร์มแห่งโอกาสที่ครอบคลุมประชากรกว่า 99% ในประเทศ
ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่เราตั้งใจร่วมกัน “เพื่อมอบสิ่งที่ดียิ่งกว่า ให้กับลูกค้าคนสำคัญทุกคน”
#อยู่ทรูยิ่งได้มากขึ้น
#ยิ่งรู้จักยิ่งรักทรู
#ย้ายมาทรูสู่ยุคใหม่ไปด้วยกัน
เทคโนโลยีที่ทันสมัยมีศักยภาพที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น แต่สำหรับคนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลอย่างชาวบ้านและเด็กนักเรียนที่อาศัยอยู่บนดอย บนภูเขา การมีเทคโนโลยีเข้ามาถึงนั้น เป็นมากกว่าความสะดวกสบาย เพราะเทคโนโลยียังเข้ามาช่วยเติมเต็มความฝันของเด็ก ๆ และคนในชุมชน ช่วยสร้างโอกาส สร้างงาน สร้างอาชีพใหม่ ๆ และสร้างความเท่าเทียมได้จริง
ด้วยเจตนารมย์ของกลุ่มทรูที่มุ่งมั่นลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและคุณภาพชีวิตของคนไทยให้เท่าเทียมกันทั่วประเทศ การขยายเครือข่ายอัจฉริยะ True 5G จึงกว้างไกลและครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วไทย รวมถึงในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้คนไทยได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G อย่างทั่วถึง ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
เมื่อทรูเข้าไปติดตั้งเครือข่าย True 5G ที่บ้านป่าซางนาเงิน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ชุมชนที่อยู่บนดอยสูงและห่างไกล การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชุมชนแห่งนี้ก็ได้เกิดขึ้น และเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่ผู้คนในชุมชนอยากถ่ายถอดให้ทุกคนได้ฟัง
เปิดโลกความรู้ เชื่อมต่อความร่วมมือ และสร้างอาชีพได้จริง ด้วยเทคโนโลยีส่งเสริมการเรียนแบบ Project Based Learning
เมื่อมีเครือข่าย True 5G พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาในโรงเรียน โรงเรียนป่าซางนาเงินจึงสามารถจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ Project based learning (PBL) ที่เน้นการสอนผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้โครงงานเป็นฐาน และเพิ่มประสบการณ์ในการปฏิบัติงานให้นักเรียนเหมือนกับการทำงานจริง
ครูทิ้ง – ศุภชัย บำรุง ครูจากมูลนิธิ Teach For Thailand รับหน้าที่สอนวิชาคณิตศาสตร์ ทักษะงานอาชีพเกษตร ทักษะงานอาชีพงานประดิษฐ์ เล่าว่า ปีการศึกษาที่ผ่านมา นักเรียนที่เรียนผ่านวิธี PBL ได้ใช้เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตในทำโครงงานที่พวกเขาสนใจ นั่นคือ การขายต้นบอน ไม้ประดับที่มีมากในท้องถิ่น
กลุ่มนักเรียนได้เริ่มจากการใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาข้อมูล และได้แลกเปลี่ยนความรู้กับกลุ่มคนรักบอน ไปจนถึงการเรียนการตลาดออนไลน์กับนักการตลาดที่เชี่ยวชาญ ในที่สุดก็เกิดโครงการเกษตร AKHAYA ซึ่งนักเรียนสามารถขายสินค้าออนไลน์และหารายได้นอกเวลาเรียนได้จริง ครูทิ้งได้เล่ารายละเอียดของโครงการนี้ว่า
“ชื่อ AKHAYA เป็นชื่อแบรนด์ที่นักเรียนคิดก่อนที่จะทำโครงการสร้างรายได้ด้วยไม้ประดับ ซึ่งชื่อนี้มีที่มาจากนักเรียนได้เรียนการตลาดออนไลน์กับนักการตลาด และได้คิดชื่อแบรนด์ว่า AKHAYA ซึ่งแปลว่า เด็กอาข่า เด็ก ๆ บอกว่า จำง่าย ฟังครั้งเดียวแล้วติดหูคน ส่วนโลโก้ AKHAYA นักเรียนต้องการสื่อสารความเป็นอาข่าของเขา มีการนำโต๊ะที่พังไปแล้วมาแกะสลักและนำลายผ้าอาข่ามาทำเป็นลายอะเคิ้ง ที่แปลว่า ใยแมงมุม และปรับสีให้ดูโมเดิร์นขึ้น เพื่อสร้างสรรค์งานคราฟต์ที่เป็นกระถางไม้ไผ่
“ส่วนไม้ประดับที่นักเรียนเลือกทำควบคู่กันไปด้วยคือ การเพาะปลูกต้นบอนพันธุ์ที่พบในภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งตรงนี้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนความรู้และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มคนรักบอนด้วย สิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับนักเรียนที่สุดคือ เขาสามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเอง”
ครูทิ้งกล่าวว่า ความสำเร็จเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีเครือข่าย True 5G เข้ามาสนับสนุนการศึกษาและพัฒนาชีวิตในชุมชนบ้านป่าซางนาเงิน
“โครงการเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้จากการที่เราได้ใช้อินเทอร์เน็ตในการหาข้อมูล การขายบนโลกออนไลน์ รวมถึงการเรียนรู้กับนักการตลาดมืออาชีพ ผ่านแพลตฟอร์ม True VRoom นอกจากนี้นักเรียนยังได้ช่วยกันออกแบบโลโก้ในไอแพดและนำเสนอผลงานให้ครูท่านอื่นดูผ่านสมาร์ททีวีหน้าจอใหญ่ ทุกอย่างสะดวกสบายกว่าเดิมมาก ผมรู้สึกประทับใจจริง ๆ ครับ”
ส่วนในมุมของนักเรียน ด.ช.ปฏิภาณ ยิลือ และ ด.ช.พงศกร แยม๊อ เล่าว่า พวกเขามีความภาคภูมิใจอย่างมากที่ได้ลงมือทำงานโครงการให้สำเร็จ และสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ถือเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากที่สุด
นอกจากเทคโนโลยีจะเป็นสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย ส่งเสริมให้เด็กนักเรียนหาความรู้ได้ตามความสนใจแล้ว เทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตยังช่วยสร้างรายได้ให้คนในชุมชนอีกด้วย
ชมความสนุกของการเรียนการสอนของ “ห้องเรียนบนดอย” สุดทันสมัยของโรงเรียนบ้านป่าซางนาเงิน พร้อมผลงานมากมายที่น่าสนใจของนักเรียนในห้องเรียนแห่งนี้ได้ในคลิปนี้
เทคโนโลยี 5G สร้างอาชีพใหม่ให้คนในชุมชนห่างไกลมีรายได้จากโลกออนไลน์
เราต่างรู้กันดีว่า โลกออนไลน์นั้น หากจับทางถูกก็สามารถสร้างอาชีพและหารายได้เลี้ยงตัวได้ อย่างเช่น คุณขวัญ - นราพร วิเศษไตรรัตน์ ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านป่าซางนาเงิน ที่ทำงานประจำไปพร้อมกับการขายของออนไลน์เป็นอาชีพเสริม สินค้าที่เธอนำมาขายคือ ชาเลือดมังกร
จุดเริ่มต้นของการขายชาเลือดมังกรของคุณขวัญ เกิดจากการที่เธอได้ชิมชานี้ที่บ้านเพื่อน จากนั้นจึงนำสมุนไพรนี้มาปลูกในชุมชน และทดลองให้คนรอบตัวลองดื่มและเห็นผลว่าบำรุงสุขภาพให้ดีขึ้นได้ จึงเริ่มผลิตขายให้กับคนรู้จักจนเกิดความคิดต่อยอดที่อยากขายชาเลือดมังกรให้คนทั่วไปได้นำไปบำรุงสุขภาพด้วย เมื่อ True 5G เข้ามาในชุมชนบ้านป่าซาง เธอจึงได้ใช้ประโยชน์ในการอินเทอร์เน็ตเพื่อโพสต์ขายสินค้าทางเฟซบุ๊ก จากนั้นก็เริ่มมีคนสั่งสินค้าเข้ามาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นอาชีพเสริมที่สร้างรายได้อีกทางให้กับครอบครัว
คุณขวัญเน้นว่า อาชีพเสริมนี้เกิดขึ้นได้เพราะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้ โดยเธอกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ขอบคุณ True 5G ที่ทำให้ชุมชนชนบทมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ดี ชาวบ้านก็หาช่องทางสร้างอาชีพเสริมได้ ตอนนี้คุยกับลูกค้าไม่สะดุด ไม่ว่าจะอยู่ที่หุบเขาหรือที่ไหนก็ปิดการขายได้รวดเร็วทันใจค่ะ”
เรื่องราวของคุณครู นักเรียน และผู้คนในชุมชนบ้านป่าซางนาเงิน จังหวัดเชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีที่ทันสมัย แม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล แต่ก็ยังมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลความรู้ต่างๆ ไม่เท่าเทียมกับคนในเมือง ดังความตั้งใจของ True 5G ที่พร้อมนำเทคโนโลยี ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย และเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างแท้จริง
การศึกษาที่มีคุณภาพ เป็นสิทธิพื้นฐานที่เด็กทุกคนควรได้รับอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกใบนี้
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีเด็ก ๆ ในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาที่ดีได้เท่ากับเด็กในชุมชนเมือง เด็กกลุ่มนี้ถูกเรียกว่าเป็น “เด็กชายขอบ”
เพราะการศึกษาคือต้นทุนชีวิตที่สำคัญของเด็กทุกคน กลุ่มทรู จึงตระหนักถึงปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำในด้านศึกษาของเด็กชายขอบมาตลอด และยึดถือเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญมากกว่า 10 ปี ที่มุ่งมั่น ทุ่มเท บุกเบิกในการนำศักยภาพของเทคโนโลยีดิจิทัลและการสื่อสาร ช่วยเปิดโลกกว้าง ยกระดับการศึกษาให้กับนักเรียน และครูในพื้นที่ห่างไกล เพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมความเสมอภาคในการศึกษาให้ได้มากที่สุด
วันนี้ เราได้เห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงแล้วใน 3 พื้นที่ชายขอบของประเทศไทย ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ห่างไกลแค่ไหน ทรูก็พร้อมเดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการศึกษาให้เด็กทุกคนได้เรียนอย่างทัดเทียม
เด็กเมียนมาร์ในแนวชายแดนมีคะแนนยอดเยี่ยม ติด 10 อันดับแรกของหลักสูตร กศน.
ในพื้นที่ห่างไกลไล่ตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-เมียนมาร์ 5 จังหวัด ตั้งแต่ ระนอง กาญจนบุรี ตาก แม่ฮ่องสอน ไปถึงเชียงราย เด็กนักเรียนและครูในพื้นที่นี้ ได้พึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลจากทรู ที่เปิดโอกาสทางการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น จนเกิดผลลัพธ์ที่น่าภูมิใจ คือการได้เห็นเด็กเมียนมาร์จากศูนย์การเรียนรู้ที่เข้าร่วมโครงการนี้ มีคะแนนสอบยอดเยี่ยมติด 10 อันดับแรกของหลักสูตร กศน.ของเมียนมาร์ (Non-Formal Primary Education)
จุดเริ่มต้นของความสำเร็จนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2558 ที่กลุ่มทรู ได้ร่วมกับสำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย และสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ขับเคลื่อน “โครงการสื่อพกพาเพื่อการรู้หนังสือสำหรับเด็กนอกระบบการศึกษา” หรือ Mobile Literacy for Out-of-School Children Project โดยมอบสื่อไอซีทีจากโครงการทรูปลูกปัญญา ทั้งชุดอุปกรณ์รับสัญญาณทรูวิชั่นส์สื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนการสอน ครอบคลุม 8 กลุ่มสาระวิชา และอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สายบนเครือข่ายทรูมูฟ เอช ให้แก่ศูนย์การเรียนรู้กว่า 70 แห่ง ในพื้นที่แห่งนี้
ครูกว่า 350 คน ได้พัฒนาทักษะการใช้สื่อพกพาและนำไอซีทีมาประยุกต์ใช้จัดการเรียนการสอน มีนักเรียนกว่า 10,000 คน สามารถเข้าถึงสื่อการเรียนรู้และอินเทอร์เน็ตได้ และเกิดการพัฒนาที่ดีอย่างต่อเนื่อง จนเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นและวัดผลได้จริงว่าเด็ก ๆ มีผลการเรียนรู้ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นักเรียนปอเนาะสื่อสารภาษาไทยได้ และสอบผ่านเกณฑ์ได้มากขึ้น
ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีความท้าทายทั้งในด้านวัฒนธรรมและภาษาท้องถิ่น เนื่องจากชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ใช้ภาษามลายูในการติดต่อสื่อสาร ขณะที่โรงเรียนต่าง ๆ จัดการเรียนการสอนและใช้สื่อการสอนภาษาไทยเป็นหลัก เด็กนักเรียนไทยมุสลิมจึงต้องปรับตัวในการเรียนรู้และสื่อสารภาษาไทย ซึ่งอาจเป็นปัญหาหนึ่งในการเรียนของเด็กได้
จากความตั้งใจต่อยอดโอกาสทางการศึกษา พร้อมสร้างความเท่าเทียมในการเรียนรู้ให้กับเด็กทุกคนในทุกพื้นที่ กลุ่มทรู จึงเดินหน้าเข้าสู่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล โดยจัดตั้ง “โครงการสื่อพกพาเพื่อการรู้หนังสือสำหรับเยาวชนปอเนาะ” ติดตั้งชุดสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้จากโครงการทรูปลูกปัญญา ประกอบด้วยชุดอุปกรณ์รับสัญญาณทรูวิชั่นส์พร้อมแพ็กเกจสารคดีชั้นนำจากทั่วโลก แท็บเล็ต อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สายพร้อมดาต้า ตลอดจนจัดอบรมการใช้สื่อและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้แก่ครูและนักเรียนของ กศน. ภาคใต้ และสถาบันศึกษาปอเนาะ ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้นี้
เทคโนโลยีอันล้ำสมัยและอุปกรณ์จากโครงการนี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญให้ครูได้ใช้ในการจัดการเรียนการสอน ขณะที่เด็กนักเรียนกศน. และโรงเรียนรัฐบาลต่าง ๆ ในจังหวัดภาคใต้ ก็สามารถเข้าถึงแหล่งสาระข้อมูลและข่าวสาร ทั้งด้านวิชาการ ศาสนา วัฒนธรรม พร้อมสื่อดิจิทัลภาษาอารบิก และภาษามลายูได้เป็นอย่างดี
ในเวลาเพียงไม่ถึง 1 ปีก็เห็นผลสำเร็จอันน่าภูมิใจ นั่นคือ นักเรียนปอเนาะมีผลการเรียนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สามารถสอบผ่านเกณฑ์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้และการสื่อสารภาษาไทยซึ่งเป็นปัญหาหลักของนักเรียนในพื้นที่นี้
เด็กบนยอดดอยเชียงราย ได้เปิดโลกกว้างทางการศึกษา และต่อยอดความรู้หารายได้ทางออนไลน์
อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของกลุ่มทรู คือ การใช้เครือข่ายอัจฉริยะทรู 5G ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ สร้างความเท่าเทียมทั้งทางการศึกษา และต่อยอดความฝันให้เด็ก ๆ โรงเรียนบ้านป่าซางนาเงิน อ. แม่ฟ้าหลวง จ. เชียงราย ได้สำเร็จ แม้โรงเรียนและชุมชนแห่งนี้จะอยู่บนดอยสูง ติดชายแดนไทย-เมียนมาร์
ความก้าวล้ำของเทคโนโลยี 5G เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย ช่วยยกระดับการศึกษา เปิดโลกกว้างให้กับเด็กนักเรียนและผู้คนในพื้นที่ห่างไกล พร้อมพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในปี 2563 กลุ่มทรู เข้าไปดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ 5G ชุมชน ณ โรงเรียนบ้านป่าซางนางเงิน ภายใต้ความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ติดตั้งเสาสัญญาณ 5G และสนับสนุนเทคโนโลยีสื่อสาร เพื่อยกระดับการศึกษาและการใช้ชีวิต ที่จะทำให้ครู นักเรียน และคนในชุมชน ก้าวทันเทคโนโลยีดิจิทัลได้ทัดเทียบกับคนในเมือง
เทคโนโลยีดิจิทัลล้ำสมัยจากทรู เข้ามาเสริมประสิทธิภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนบ้านป่าซางนาเงิน มีการริเริ่มการเรียนรู้แบบ Project Based Learning โดยครูและนักเรียนใช้อุปกรณ์ดิจิทัล เชื่อมต่อผ่านเครือข่ายอัจฉริยะทรู 5G เสริมการเรียนรู้แบบครบวงจรในโครงงานวิชาต่าง ๆ พร้อมกับการต่อยอดเปิดช่องทางจำหน่ายออนไลน์ อย่างเช่นโครงการ AKHAYA ที่เด็กนักเรียนต่อยอดความรู้ ขายไม้ประดับบอนท้องถิ่นผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก
นอกจากนั้น ยังบูรณาการการเรียนรู้รายวิชา นำแว่นเสมือนจริงและสื่อ 360 องศา ประกอบการเรียนรู้เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนที่สนุกสนาน ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดแรงบันดาลใจและสร้างเสริมจินตนาการไม่รู้จบ จากการได้เห็นโลกกว้างผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล
ยิ่งไปกว่านั้น ทรูยังส่งผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา หรือ ICT Talent มาประจำการที่ศูนย์ฯ ช่วยแนะนำและให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ และการใช้โปรแกรมพื้นฐาน เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ยูทูป ติ๊กต็อก ซึ่งเด็กนักเรียนที่ทำโครงการขายสินค้าทางออนไลน์ และคนในชุมชนที่ทำมาค้าขาย สามารถนำไปใช้ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัวได้จริง
ความภาคภูมิใจในความสำเร็จของโครงการต่าง ๆ ที่สนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาแก่เด็กนักเรียนและชุมชนใน 3 เขตพื้นที่ห่างไกลนี้ เป็นแรงผลักดันและกำลังใจสำคัญให้ กลุ่มทรู เดินหน้าสานต่อความตั้งใจที่จะสร้างโอกาสแห่งความทัดเทียม ในด้านการศึกษาให้ “เป็นจริงได้” ในอีกหลากหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ
อ้างอิง
https://research.eef.or.th/bilingual-education-southern-thailand/
เชื่อว่าหลายคนคงจะเคยเห็นรถสี่ล้อเล็กที่มีเสาสัญญาณด้านบน พร้อมสัญลักษณ์ True 5G วิ่งไปจอดตามพื้นที่ต่าง ในงานเทศกาลหรือกิจกรรมที่รวมผู้คนจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่ในพื้นที่ที่กำลังเกิดภัยพิบัติ โดยเป็นเหมือนหน่วยเคลื่อนที่เร็วที่รีบเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยและอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร เพื่อเพิ่มคุณภาพสัญญาณให้ทุกการสื่อสารในพื้นที่นั้นเป็นไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว
รถสี่ล้อเล็กที่ว่านี้คือ รถโมบายล์ชุมสายเคลื่อนที่เร็ว (Cell-On-Wheel) หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า “รถ COW” ซึ่งเป็นกองกำลังสำคัญของ True 5G ที่พร้อมอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารไปในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด เร็วและแรงที่สุด ในทุกสถานการณ์
เมื่อภารกิจของรถ COW สำคัญเช่นนี้ เราจะพาไปเจาะลึกกับ 9 เรื่องราวน่ารู้ ที่จะทำให้ทุกคนรู้จักรถ COW ของ True 5G มากยิ่งขึ้น
1. รถ COW มีหลากหลายขนาด โดยมีตั้งแต่รถขนาด 4 ล้อ – 6 ล้อใหญ่ แต่ไม่ว่าจะเป็นรถขนาดเล็กหรือใหญ่ก็เพิ่มคุณภาพของสัญญาณได้แรงไม่แพ้กัน เพราะขนาดของรถจึงเป็นตัวเลือกให้เหมาะสมตามลักษณะงาน และพื้นที่ที่จะนำไปใช้เท่านั้น ขนาดรถที่เล็กกว่าก็จะสามารถเข้าไปในแหล่งชุมชนหรือบริเวณพื้นที่แคบๆได้คล่องตัวมากกว่า
2. รถ COW ทุกคันจะติดตั้งอุปกรณ์สัญญาณ 360 องศาไว้ด้านบน โดยแยกเป็นสามทิศทางบนเสาด้านบนของตัวรถ เพื่อกระจายสัญญาณให้ครอบคลุมทุกทิศทุกทาง และเสาที่ติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้สามารถปรับความยาวได้ เพื่อความเหมาะสมในการใช้งาน
3. หน้าที่หลักของรถ COW คือการขยายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ รวมถึงการเพิ่มช่องสัญญาณมือถือในพื้นที่ที่มีการใช้หนาแน่น เพื่อรองรับการใช้งานในทุกสถานการณ์
4. รถ COW 1 คัน สามารถส่งสัญญาณได้ประสิทธิภาพเทียบเท่าเสาสัญญาณขนาดใหญ่ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน 5G/4G/3G และยังสามารถกระจายสัญญาณ WiFi by TrueMove H ได้ด้วย เรียกว่ารองรับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ ทั้งโทรและอินเทอร์เน็ต ถ้าเห็นรถ COW จอดที่ไหนก็มั่นใจได้เลยว่าจะใช้งานเครือข่ายของทรูมูฟ เอช ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
5. ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว เพียง 1 ชั่วโมงหลังจากเข้าถึงพื้นที่ รถ COW ก็สามารถให้บริการได้ทันที จึงสามารถอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารได้อย่างทันท่วงทีในทุกสถานการณ์ มอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด สัญญาณเร็วแรง เสถียร ไม่มีสะดุด
6. รถ COW ทุกคัน สามารถกระจายสัญญาณเพื่อรองรับการใช้งานได้ยาวนาน แม้ในกรณีที่กระแสไฟฟ้าในพื้นที่ถูกตัดขาด รถ COW ของ True 5G ก็ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและยาวนาน เพราะภายในรถมีทั้งระบบไฟฟ้าสำรองและเครื่องปั่นไฟ ทำให้หมดกังวลได้ ไม่ว่าจะเข้าไปในพื้นที่ไหนก็พร้อมให้บริการได้อย่างเต็มที่
7. รถ COW ของ True 5G ใช้เทคโนโลยีทันสมัย ควบคุมการทำงานจากส่วนกลาง โดยใช้ระบบ Centralize Intelligence Control สามารถตรวจสอบตำแหน่งของรถ แรงลม กระแสไฟฟ้า ตลอดจนอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการขยายสัญญาณ ควบคุมผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือโดยทีมวิศวกรเครือข่ายที่มีความเชี่ยวชาญ
8. รถ COW เป็นเหมือนพาวเวอร์แบงก์ขนาดใหญ่ ด้วยระบบของรถ COW ที่มีเครื่องปั่นไฟ จึงสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในการขยายสัญญาณ อีกทั้งยังเป็นแหล่งไฟฟ้าสำรองให้แก่คนในชุมชน รองรับการชาร์จแบตเตอรี่เครื่องโทรศัพท์มือถือและพาวเวอร์แบงก์ในกรณีที่ไฟฟ้าดับ หรือในภาวะฉุกเฉินต่าง ๆ ที่ไม่มีการตัดกระแสไฟฟ้า รวมถึงในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีระบบไฟฟ้าเข้าถึง
9. รถ COW พร้อมอำนวยความสะดวกได้ทุกกิจกรรม ด้วยขนาดของรถ และการทำงานที่คล่องตัวด้วย ประสิทธิภาพที่เต็มเปี่ยม รถ COW จึงสามารถให้บริการได้ในหลากหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นงานพระราชพิธี พิธีสำคัญทางศาสนา งานเทศกาลและอีเวนต์ต่าง ๆ ที่มีผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่มีการใช้งานหนาแน่นในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ด้วย ช่วยเสริมช่องสัญญาณเพื่อการสื่อสารที่ราบรื่นและรวดเร็ว นอกจากนี้ สำหรับพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร ที่อยู่ระหว่างการติดตั้งเสาสัญญาณเพิ่มเติม ยังสามารถนำรถ COW ไปให้บริการชั่วคราวก่อนติดตั้งสถานีฐานถาวรด้วย
ทีมวิศวกรเครือข่าย พร้อมรถ COW ลุยฝ่าวิกฤต เคียงคู่คนไทยทุกสถานการณ์
กลุ่มทรู เคียงคู่คนไทย ร่วมฝ่าวิกฤตการณ์ต่าง ๆ เสมอมา โดยระดมสรรพกำลังเสริมประสิทธิภาพเครือข่ายให้มีคุณภาพและครอบคลุมมากที่สุด เพื่อให้ทุกการสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่นและต่อเนื่อง เพราะในภาวะวิกฤต การสื่อสารสำคัญที่สุด
หนึ่งในภารกิจที่ทรูร่วมดูแลและช่วยเหลือคนไทยอย่างเต็มความสามารถ ก็คือ การช่วยเหลือนักฟุตบอลเยาวชนและผู้ฝึกที่พลัดหลงในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย ในช่วงเดือนมิถุนายน 2561 ทรูได้ส่งรถ COW เข้าไปขยายสัญญาณในพื้นที่อย่างเต็มประสิทธิภาพตลอดช่วงเวลาที่ทุกคนต่างปฏิบัติภารกิจในการช่วยเหลือ พร้อมกับสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่ ทั้งในด้านอุปกรณ์ รวมถึงทีมช่างเทคนิคประจำพื้นที่เพื่อดูแลการสื่อสารตลอดช่วงสถานการณ์
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วประเทศ ทรู ได้ส่งทีมวิศวกรไปติดตั้งรถ COW เพื่อขยายสัญญาณในโรงพยาบาลสนามหลายแห่ง ช่วยอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารแก่แพทย์ พยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาหรือต้องกักตัว สามารถติดต่อกับทางบ้านได้อย่างสบายใจ และยังสามารถเชื่อมต่อสู่โลกออนไลน์ เปิดรับข่าวสารและความบันเทิง ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยได้ผ่อนคลายจากอาการเจ็บป่วยระหว่างการพักรักษาตัวด้วย
สำหรับภารกิจสำคัญที่ต้องเตรียมพร้อมและเฝ้าระวังในทุก ๆ ปี ก็คือ สถานการณ์ภัยพิบัติและภัยธรรมชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่คนไทยต้องเผชิญกับอุทกภัย อย่าง “พายุไต้ฝุ่นโนรู” ที่ทำให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลันในหลาย ๆ จังหวัด ทรู เตรียมความพร้อมด้านการสื่อสารอย่างเต็มพิกัด โดยนำรถ COW พร้อมระดมทีมวิศวกรเครือข่าย ลงพื้นที่เพื่อดูแลขยายสัญญาณมือถือให้ประชาชนที่ประสบภัยสามารถสื่อสารได้อย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมต่อเครือข่ายอัจฉริยะทรู 5G และ WiFi ที่เร็ว แรง ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วไทย และได้ตั้งวอร์รูมเฝ้าระวังเครือข่ายสื่อสารทั่วประเทศแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมงจนกว่าพายุสงบ นอกจากนี้ ทีมวิศวกรยังได้เข้าตรวจสอบเสาสัญญาณที่ถูกน้ำท่วม เพื่อดูแลให้ใช้งานสื่อสารได้ตามปกติ บรรเทาความเดือดร้อน และอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารแก่ผู้ประสบภัยให้สามารถใช้บริการ ติดต่อสื่อสารกันได้อย่างต่อเนื่องไม่สะดุดอีกด้วย
ไม่ว่าจะที่ไหน เวลาใด ทีมวิศวกรเครือข่าย และรถ COW พร้อมเดินหน้าร่วมฝ่าวิกฤต เพื่อให้บริการลูกค้าทรูและดูแลพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศให้ติดต่อสื่อสารได้อย่างต่อเนื่อง หากพบเห็นรถ COW จอดอยู่ที่ไหน ก็มั่นใจได้ในสัญญาณและประสบการณ์การเชื่อมต่อใช้งานที่เร็ว แรง ไม่มีสะดุดในทุกการสื่อสารอย่างแน่นอน
เชื่อว่าหลาย ๆ คน น่าจะเคยได้ยินเรื่องของ ‘ความยั่งยืน’ กันมามากมาย รวมถึงองค์กรต่าง ๆ ก็ได้ปรับตัวนำเรื่องของความยั่งยืนมาใช้ในองค์กรกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งคำถามที่ตามมาก็คือ ทำไมองค์กรชั้นนำทั้งระดับโลก รวมถึงองค์กรในประเทศไทยเอง ต่างก็ให้ความสำคัญในเรื่องของความยั่งยืน และไม่เพียงแต่องค์กรเท่านั้น แม้กระทั่งพนักงานรุ่นใหม่ต่างก็ให้ความสำคัญในเรื่องของความยั่งยืนเช่นกัน
ก่อนหาคำตอบนี้ได้ ขอชวนทุกคนมาเรียนรู้และทำความรู้จักเรื่องความยั่งยืนไปด้วยกัน
ทำไมองค์กรยุคใหม่ต้องใส่ใจความยั่งยืน
องค์การสหประชาชาติได้กล่าวถึงเรื่องของการพัฒนาที่ยั่งยืนไว้ใน Brundtland Report (รายงานคณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา) ว่าเป็นการพัฒนาโดยตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน ซึ่งการพัฒนานี้จะต้องไม่กระทบต่อทรัพยากรที่จะส่งผลต่อคนรุ่นหลัง และไม่ลดคุณภาพชีวิตในปัจจุบัน โดยเป็นการมุ่งเน้นการรักษาความสมดุลของสิ่งแวดล้อมและมนุษย์นั่นเอง
หากเราไม่เห็นความสำคัญของความยั่งยืน สิ่งที่น่ากลัวในอนาคตก็คือ เรื่องของพลังงานเชื้อเพลิงต่าง ๆ อาจหมดไป สัตว์หลายชนิดก็จะสูญพันธุ์ คุณภาพของน้ำที่ควรสะอาดถูกลดทอนลงไป อากาศบริสุทธิ์ถูกทำลาย ชั้นบรรยากาศโลกเกิดความเสียหาย แต่หากนักธุรกิจให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจที่ผสมผสานความยั่งยืนกันคนละไม้คนละมือ ปัญหาที่กล่าวมาก็จะเบาบางลงไปได้
ไม่น่าแปลกใจที่องค์กรในยุคนี้ต่างปรับตัวและพัฒนาความก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ ไปพร้อมกับการเน้นความสำคัญเรื่องความยั่งยืนในมิติต่าง ๆ ต่อไปจะไปสำรวจว่า ความยั่งยืนที่มาควบคู่กับการทำธุรกิจเป็นอย่างไร
ความยั่งยืนที่มาควบคู่กับธุรกิจ
สำหรับการทำธุรกิจที่ควบคู่ไปกับความยั่งยืนนี้ Talal Rafi ซีอีโอของ Sesame Associates ซึ่งเป็นตัวแทนธนาคารโลกด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้นำระดับโลกรุ่นใหม่ของ World Economic Forum (ตำแหน่งในขณะที่บทสัมภาษณ์ได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์ Forbes เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2021) ได้ให้สัมภาษณ์ในเว็บไซต์ Forbes เกี่ยวกับประเด็นที่ว่า ทำไมองค์กรจึงควรเน้นเรื่องของความยั่งยืน โดยเขาเล่าถึงข้อมูลที่แบ่งออกเป็น 3 ข้อดังต่อไปนี้
1.ลงทุนได้ในระยะยาว
กว่า 90% ของเจ้าของธุรกิจและผู้บริหารต่างทราบกันดีถึงเรื่องของความยั่งยืน แต่มีองค์กรเพียง 60% เท่านั้นที่จะทำธุรกิจควบคู่ไปกับความยั่งยืนอย่างแท้จริง ซึ่งตัวอย่างของนักธุรกิจระดับโลกที่ทำธุรกิจโดยเน้นความยั่งยืนเป็นหลักที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากก็คือ Elon Musk โดยพันธกิจหลักของ Tesla คือ เร่งการเปลี่ยนผ่านโลก สู่การใช้พลังงานอย่างยั่งยืน แน่นอนว่าTesla ประสบความสำเร็จโดยการผลิตทั้งรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ รวมถึงโซลูชันด้านพลังงาน จะเห็นได้ว่า การที่ Elon Musk ทำธุรกิจควบคู่ไปกับความยั่งยืนนี้ นอกจากจะทำให้โลกมีความยั่งยืนมากขึ้น ธุรกิจของ Elon Musk ก็สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ในระยะยาวอีกด้วย ทั้งนี้จากข้อมูลของ McKinsey ก็ได้บอกไว้ว่า การมีกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนจะช่วยให้บริษัทสามารถลงทุนในระยะยาวได้
2.คนรุ่นใหม่สนใจองค์กรที่เน้นความยั่งยืน
ปัจจุบัน คนรุ่นมิลเลนเนียลเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดของประชากร การสำรวจโดย Nielsen ได้แสดงให้เห็นว่า คนรุ่นมิลเลนเนียลกำลังจะขยายเป็นสองเท่าของคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ที่เพิ่งเริ่มบอกว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนนิสัยเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือ เกือบ 40% ของคนรุ่นมิลเลนเนียลเลือกทำงานกับบริษัทที่เน้นเรื่องของความยั่งยืน และยังเต็มใจที่จะลดค่าจ้างเพื่อทำงานในบริษัทที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อคนรุ่นมิลเลนเนียลกลายเป็นกลุ่มคนทำงานรายใหญ่ที่สุด องค์กรที่ไม่มีกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนก็อาจสูญเสียคนเก่งจำนวนมาก เพราะความยั่งยืนทำให้พนักงานมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น เพราะเห็นคุณค่าในสิ่งที่บริษัทกำลังทำอยู่
3.ผู้บริโภคยอมจ่ายให้กับองค์กรที่เน้นความยั่งยืน
ในมุมของผู้บริโภคนั้น จากการศึกษาของ Nielsen พบว่า 66% ของผู้บริโภคจะยอมจ่ายมากขึ้นหากผลิตภัณฑ์มาจากแบรนด์ที่มีความยั่งยืน และ 81% ของผู้บริโภคทั่วโลกต่างก็รู้สึกไปในทำนองเดียวกันคือ องค์กรต่าง ๆ ควรหันมาใส่ใจในเรื่องของความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
ไม่เพียงองค์กรระดับโลกเท่านั้นที่ให้ความสำคัญเรื่องของความยั่งยืน องค์กรในประเทศไทยที่ให้ความสำคัญก็มีจำนวนมาก แต่องค์กรที่ให้ความสำคัญด้านนี้อย่างครอบคลุมและโดดเด่นที่สุดจนทำให้ได้เป็นองค์กรที่ได้อันดับ 1 ของโลก จากการจัดอันดับดัชนี DJSI 2021 ในหมวดธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ก็คือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)
ก่อนที่จะไปสำรวจเหตุผลว่าทำไม True จึงได้เป็นอันดับ 1 ของโลกในด้านความยั่งยืนจากการจัดอันดับดัชนี DJSI เป็นเวลา 4 ปีติดต่อกัน ขอพาทุกคนไปความรู้จักกับดัชนี DJSI ที่ทั่วโลกยอมรับกันก่อน
ทำความรู้จักกับดัชนี DJSI
DJSI หรือชื่อเต็มว่า Dow Jones Sustainability Indices คือ ดัชนีที่ใช้ประเมินการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เน้นหลักในการประเมิน 3 ด้านที่เรียกว่า ESG ได้แก่ 1. การรักษาสิ่งแวดล้อม (Environment) 2. การดูแลสังคม (Social) 3. การมีธรรมาภิบาลทางธุรกิจ (Governance) ซึ่งเหตุผลที่ดัชนี DJSI ดึงความสนใจจากนักลงทุนได้มากกว่าธุรกิจที่มีแค่ผลประกอบการ นั่นก็เป็นเพราะ ดัชนี DJSI นับเป็นอีกหนึ่งเกณฑ์สำคัญของนักลงทุนที่ใช้ในการพิจารณาเพื่อจะเข้าไปลงทุนในองค์กรนั้น ๆ เพราะบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับ DJSI ถือเป็นองค์กรที่มีหลักประกันถึงศักยภาพการบริหารงาน ว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและมีความยั่งยืนให้กับผู้ลงทุนนั่นเอง
ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องราวขององค์กรที่ได้รับการจัดอันดับดัชนี DJSI 2021 ที่มีคะแนนรวมสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก จากองค์กรใหญ่ 10,900 บริษัท เป็นการบอกเล่าถึงความสำเร็จนี้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และนักธุรกิจหน้าใหม่จะได้ประโยชน์อย่างไรจากเรื่องนี้
เผยเคล็ดลับจากองค์กรที่ได้อันดับ 1 ของโลก จากการจัดอันดับดัชนี DJSI 2021 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)
สำหรับอันดับ 1 ของโลก จากการจัดอันดับดัชนี DJSI 2021 ก็คือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ในหมวดธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งความสำเร็จนี้ กลุ่มทรูได้ใช้ยุทธศาสตร์ 3 H’s คือ Heart Health และ Home ดังรายละเอียดต่อไปนี้
Heart เน้นเรื่องของบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และการดูแลรักษาข้อมูลส่วนบุคคลให้ได้ 100% รวมถึงร่วมขับเคลื่อนการศึกษาด้วยโครงการทรูปลูกปัญญา และส่งเสริมการศึกษาเยาวชนไทยให้พร้อมเติบโตเป็นทั้งคนดีมีความสามารถมาแล้วกว่า 2.3 ล้านคน ผ่านมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาคอนเน็กซ์อีดี ซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนที่อยู่ในการดูแล 5,567 แห่งทั่วประเทศ
Health สร้างสรรค์นวัตกรรมเชื่อมโยงทุกความต้องการของคนไทยยุค New normal ไปกับดิจิทัลแพลตฟอร์ม TRUE VWORLD เทคโนโลยีคลาวด์ที่ครบทุกโซลูชัน ทั้ง VWORK สนับสนุนภาคธุรกิจ และ VLEARN สนับสนุนสถาบันการศึกษา นักเรียนและนักศึกษา ให้สามารถเรียนออนไลน์ได้ทุกที่ ทุกเวลา
Home มีการติดตั้งพลังงานสะอาดอย่างเช่น โซล่าเซลล์ที่เสาสัญญาณและชุมสาย 3,481 แห่ง ณ สิ้นปี 2021 ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 12,570 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และยังเดินหน้าขยายการติดตั้งอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้าได้ 11,900 MWh ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 5,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ยุทธศาสตร์ทั้ง 3 H’s ของ TRUE ล้วนถูกนำมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม ก่อให้เกิดการเติบโตของธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ซึ่งสิ่งเหล่านี้หากมองกันในแง่ของการลงทุน หลายคนคงจะคุ้นหูกันดีกับคำว่า ‘หุ้นยั่งยืน’ ซึ่ง TRUE ก็เป็นจัดเป็นหุ้นในบริษัทยั่งยืนนี้เช่นกัน
สำหรับแนวคิดของการพัฒนาองค์กรในแนวทางความยั่งยืนในแบบของ TRUE สามาถรับชมได้ในวิดีโอคลิปนี้
ดูวีดีโอ Full version ได้ที่นี่
หากเป็นการทำธุรกิจในยุคเก่า องค์กรอาจต้องผูกใจนักลงทุนด้วยเรื่องของ เงินทุน ผลกำไร ส่วนในด้านของพนักงานก็อาจคุยถึงเรื่องเงินเดือนเพียงอย่างเดียว แต่จากเรื่องราวที่ได้เล่าสู่กันฟังด้านบน ทำให้ทราบว่า ถ้าองค์กรทำธุรกิจบนความยั่งยืน ก็จะสามารถผูกใจนักลงทุนและพนักงานได้อย่างแท้จริง
#TrueTogether #TrueDJSI #TrueSustainability
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.twi-global.com/technical-knowledge/faqs/faq-what-is-sustainability
https://www.forbes.com/sites/forbesbusinesscouncil/2021/02/10/why-corporate-strategies-should-be-focused-on-sustainability/?sh=15c69d077e9f
https://www.brandage.com/article/5184/tesla-Elon-Musk