Smart City เริ่มต้นที่นี่ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สถานี 5G อัจฉริยะ เพื่อคนไทย

ยุคนี้ หันไปทางไหนก็มีแต่คนพูดถึง 5G จนอดสงสัยไม่ได้ว่า 5G สำคัญกับกับชีวิตเรามากแค่ไหนกันนะ?

 

ความจริงแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั่วโลกต่างพูดถึงเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายประสิทธิภาพสูงนี้ เพราะ 5G คือเทคโนโลยีสำคัญที่เข้ามาช่วยพลิกชีวิตเราทุกคนได้ โดยยกระดับตั้งแต่การใช้ชีวิตประจำวันง่าย ๆ อย่าง
การอ่านฟีดบนหน้าเฟซบุ๊ก เล่นติ๊กต็อก ยูทูบ อัปไอจีสตอรี่ และสตรีมมิงได้เร็วทันใจ ไปจนถึงระดับมหภาค เรื่องของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมให้ดียิ่งขึ้น

 

ด้วยเหตุนี้ 5G จึงเป็นเทคโนโลยีที่ทุกประเทศจับตามอง และประเทศไทยก็ต้องก้าวให้ทันเช่นกัน ทรูจึงเดินหน้าพัฒนาเครือข่ายอัจฉริยะ True 5G พร้อมเป็นพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ควบคู่กับการสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัลสุดล้ำที่ผสมผสานเชื่อมโยงการทำงานผ่านเครือข่ายอัจฉริยะ True 5G ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ AI การเกษตรอัจฉริยะ รถยนต์อัตโนมัติ หรือแม้แต่เมืองในฝันอย่าง ‘เมืองอัจฉริยะ’ หรือ ‘Smart City’ ที่เราได้เห็นในนานาประเทศก็ล้วนเกิดขึ้นจริงได้ด้วย 5G เช่นกัน 

 

ตอนนี้ Smart City ในประเทศไทยได้เริ่มต้นแล้ว จากการนำเครือข่ายอัจฉริยะ True 5G และ โซลูชัน 5G เข้าไปยกระดับภาคการคมนาคม เสริมศักยภาพในการให้บริการประชาชนและเพิ่มความปลอดภัย พัฒนาให้การคมนาคมขนส่งสะดวกล้ำสมัยกว่าเดิม ที่ ‘สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์’  

 

สถานีนี้นับเป็นก้าวแรกที่นำเทคโนโลยี 5G มาเป็นโซลูชันในการคมนาคมของคนไทยก็ว่าได้ จะน่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหน จะมีเทคโนโลยีสุดล้ำอะไรบ้าง คงต้องไปสัมผัสกันด้วยตัวเองแล้ว!

 

สถานีอัจฉริยะ 5G ความสะดวกที่จับต้องได้

 

เพราะ ‘การคมนาคม’ คือจุดเริ่มต้นของการเชื่อมต่อผู้คนเข้าด้วยกัน ถ้ายกระดับการคมนาคมได้ ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะดีขึ้นด้วย ทรูจึงได้ร่วมมือกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปลี่ยนสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ให้เป็น ‘สถานี 5G อัจฉริยะ  (5G Smart Station)’ แห่งแรกในไทยและในอาเซียน 

 

ที่นี่ คนไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกจะได้สัมผัสเทคโนโลยีเครือข่าย 5G อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เป็นความสะดวกสบายที่จับต้องได้จริงตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในสถานี อย่างแรกคือการใช้เครือข่าย 5G ที่เร็วแรง ติดต่อสื่อสารหรือใช้งานแอปพลิเคชันได้ทันใจ จะโทรหรือใช้งานดาต้าก็ไวมาก นอกจากนี้ยังพรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ เช่น ถ้าต้องการข้อมูลการเดินทางหรือความช่วยเหลือ ก็จะมี หุ่นยนต์ต้อนรับ SRT Bot คอยให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน ทั้งการแสดงแผนผังของสถานี แสดงข้อมูลรายการเดินรถ โดยสามารถโต้ตอบได้แบบเรียลไทม์ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย เรียกว่าทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการเชื่อมต่อผู้คน ทั้งชาวไทยและผู้คนหลากหลายชาติที่เข้ามาใช้บริการ  พร้อมมอบการต้อนรับที่อบอุ่นและน่าประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกคน

 

อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่แสดงถึงความเท่าเทียมในการใช้สถานีอัจฉริยะแห่งนี้ก็คือ รถเข็นอัจฉริยะ 5G Smart Wheel Chair ที่มีระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงานพร้อมให้ข้อมูลต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกผู้สูงอายุและผู้ทุพพลภาพสร้างประสบการณ์เดินทางที่ดีและมีความปลอดภัยให้กับคนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย

 

 

สำหรับการคมนาคมแล้ว ความสะดวกอย่างเดียวคงไม่พอ แต่ต้องปลอดภัยด้วย สถานีอัจฉริยะแห่งนี้มีระบบปัญญาประดิษฐ์ 5G AI Security เชื่อมต่อกล้องวงจรปิดทั่วทั้งสถานี ผู้ใช้บริการทุกคนจึงเดินทางได้อย่างสบายใจแน่นอน ระบบแสนชาญฉลาดนี้สามารถวิเคราะห์วัตถุแปลกปลอม พร้อมตรวจจับพฤติกรรมบุคคลที่น่าสงสัยได้ และยังส่งสัญญาณแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือหรือสั่งหยุดรถไฟในกรณีเหตุฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว หากมีผู้ใช้บริการเกิดอุบัติเหตุก็จะขอความช่วยเหลือแบบเรียลไทม์ ได้ทันที

 

โซลูชัน 5G ทั้งหมดนี้ สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ด้วยระบบ MEC หรือ Multi-access Edge Computing ซึ่งเป็นการวางโครงข่ายเทคโนโลยี 5G สุดล้ำสมัยทำให้ระบบอัจฉริยะต่าง ๆ ภายในสถานีเชื่อมต่อกันได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยของข้อมูลสูง ทั้งยังรองรับการต่อยอดโซลูชัน 5G ได้อีกหลากหลายในอนาคตด้วย

 

ถึงเวลาออกเดินทางสู่ Smart City 

 

ถึงแม้สถานี 5G อัจฉริยะ  จะเป็นเพียงหนึ่งในจิ๊กซอว์หลากหลายชิ้นสู่การเป็น Smart City เต็มตัว แต่หลายประเทศเลือกเริ่มต้นสร้าง Smart City ที่การคมนาคมเป็นอย่างแรก ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จมากก็คือ เมืองกวางโจว ประเทศจีน ที่ได้นำ 5G มาใช้กับรถไฟความเร็วสูงทั่วเมือง เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน พร้อมประหยัดแรงงานและเวลา ทำให้ผู้คนกว่า 20 ล้านคนในเมืองเดินทางได้เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และรื่นรมย์ขึ้น จนได้รางวัลในเวทีโลกหลายรางวัล และหลังจากประสบความสำเร็จในการคมนาคมแล้ว กวางโจวยังเดินหน้าติดตั้งสถานีกระจายสัญญาณ 5G ไว้ทั่วเมืองเพื่อเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับเทคโนโลยีอย่างทั่วถึง

 

 

สถานี 5G อัจฉริยะ  ในไทยก็กำลังมุ่งไปยังจุดหมายเดียวกับกวางโจวเช่นกัน ด้วยความสำเร็จของสถานีอัจฉริยะ ที่มีการใช้ประโยชน์ของเครือข่าย True 5G อย่างเต็มที่ สามารถใช้เป็นโมเดลเพื่อนำไปต่อยอดได้ แถมยังมีโอกาสสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านการคมนาคมทั่วประเทศไทยได้ด้วย ในอนาคต เราอาจได้เห็นสถานีอัจฉริยะ 5G แบบนี้ตั้งอยู่ทั่วทุกภูมิภาค และเชื่อมโยงกับอัจฉริยะอื่น ๆ ที่อยู่ภายนอกสถานี เช่น ระบบความปลอดภัยผ่านกล้องวงจรปิด ซึ่งในที่สุด เทคโนโลยี 5G ก็อาจจะนำประเทศไทยไปสู่ Smart City เต็มตัวได้ กลายเป็นเมืองที่สะดวกปลอดภัยสำหรับคนไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

 

ก้าวแรกของ 5G สู่อนาคตที่ดีกว่า

 

ถ้าอยากสัมผัสเทคโนโลยีสุดล้ำและความสะดวกสบายของ Smart City ก็สามารถทดลองใช้บริการสถานี 5G อัจฉริยะ  ที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ได้เลยวันนี้ เชื่อว่าสถานีนี้จะไม่ใช่แค่สร้างประสบการณ์ที่ดีเพื่อคนไทยเท่านั้น แต่ยังช่วยต้อนรับเหล่านักท่องเที่ยวที่เริ่มหลั่งไหลกลับมาเข้า และสร้างภาพความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับประเทศไทยได้แน่นอน

 

Smart City เริ่มต้นที่นี่ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สถานี 5G อัจฉริยะ เพื่อคนไทย
True Blog 21 มี.ค. 2566

ยุคนี้ หันไปทางไหนก็มีแต่คนพูดถึง 5G จนอดสงสัยไม่ได้ว่า 5G สำคัญกับกับชีวิตเรามากแค่ไหนกันนะ?

 

ความจริงแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั่วโลกต่างพูดถึงเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายประสิทธิภาพสูงนี้ เพราะ 5G คือเทคโนโลยีสำคัญที่เข้ามาช่วยพลิกชีวิตเราทุกคนได้ โดยยกระดับตั้งแต่การใช้ชีวิตประจำวันง่าย ๆ อย่าง
การอ่านฟีดบนหน้าเฟซบุ๊ก เล่นติ๊กต็อก ยูทูบ อัปไอจีสตอรี่ และสตรีมมิงได้เร็วทันใจ ไปจนถึงระดับมหภาค เรื่องของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมให้ดียิ่งขึ้น

 

ด้วยเหตุนี้ 5G จึงเป็นเทคโนโลยีที่ทุกประเทศจับตามอง และประเทศไทยก็ต้องก้าวให้ทันเช่นกัน ทรูจึงเดินหน้าพัฒนาเครือข่ายอัจฉริยะ True 5G พร้อมเป็นพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ควบคู่กับการสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัลสุดล้ำที่ผสมผสานเชื่อมโยงการทำงานผ่านเครือข่ายอัจฉริยะ True 5G ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ AI การเกษตรอัจฉริยะ รถยนต์อัตโนมัติ หรือแม้แต่เมืองในฝันอย่าง ‘เมืองอัจฉริยะ’ หรือ ‘Smart City’ ที่เราได้เห็นในนานาประเทศก็ล้วนเกิดขึ้นจริงได้ด้วย 5G เช่นกัน 

 

ตอนนี้ Smart City ในประเทศไทยได้เริ่มต้นแล้ว จากการนำเครือข่ายอัจฉริยะ True 5G และ โซลูชัน 5G เข้าไปยกระดับภาคการคมนาคม เสริมศักยภาพในการให้บริการประชาชนและเพิ่มความปลอดภัย พัฒนาให้การคมนาคมขนส่งสะดวกล้ำสมัยกว่าเดิม ที่ ‘สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์’  

 

สถานีนี้นับเป็นก้าวแรกที่นำเทคโนโลยี 5G มาเป็นโซลูชันในการคมนาคมของคนไทยก็ว่าได้ จะน่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหน จะมีเทคโนโลยีสุดล้ำอะไรบ้าง คงต้องไปสัมผัสกันด้วยตัวเองแล้ว!

 

สถานีอัจฉริยะ 5G ความสะดวกที่จับต้องได้

 

เพราะ ‘การคมนาคม’ คือจุดเริ่มต้นของการเชื่อมต่อผู้คนเข้าด้วยกัน ถ้ายกระดับการคมนาคมได้ ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะดีขึ้นด้วย ทรูจึงได้ร่วมมือกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปลี่ยนสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ให้เป็น ‘สถานี 5G อัจฉริยะ  (5G Smart Station)’ แห่งแรกในไทยและในอาเซียน 

 

ที่นี่ คนไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกจะได้สัมผัสเทคโนโลยีเครือข่าย 5G อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เป็นความสะดวกสบายที่จับต้องได้จริงตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในสถานี อย่างแรกคือการใช้เครือข่าย 5G ที่เร็วแรง ติดต่อสื่อสารหรือใช้งานแอปพลิเคชันได้ทันใจ จะโทรหรือใช้งานดาต้าก็ไวมาก นอกจากนี้ยังพรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ เช่น ถ้าต้องการข้อมูลการเดินทางหรือความช่วยเหลือ ก็จะมี หุ่นยนต์ต้อนรับ SRT Bot คอยให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน ทั้งการแสดงแผนผังของสถานี แสดงข้อมูลรายการเดินรถ โดยสามารถโต้ตอบได้แบบเรียลไทม์ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย เรียกว่าทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการเชื่อมต่อผู้คน ทั้งชาวไทยและผู้คนหลากหลายชาติที่เข้ามาใช้บริการ  พร้อมมอบการต้อนรับที่อบอุ่นและน่าประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกคน

 

อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่แสดงถึงความเท่าเทียมในการใช้สถานีอัจฉริยะแห่งนี้ก็คือ รถเข็นอัจฉริยะ 5G Smart Wheel Chair ที่มีระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงานพร้อมให้ข้อมูลต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกผู้สูงอายุและผู้ทุพพลภาพสร้างประสบการณ์เดินทางที่ดีและมีความปลอดภัยให้กับคนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย

 

 

สำหรับการคมนาคมแล้ว ความสะดวกอย่างเดียวคงไม่พอ แต่ต้องปลอดภัยด้วย สถานีอัจฉริยะแห่งนี้มีระบบปัญญาประดิษฐ์ 5G AI Security เชื่อมต่อกล้องวงจรปิดทั่วทั้งสถานี ผู้ใช้บริการทุกคนจึงเดินทางได้อย่างสบายใจแน่นอน ระบบแสนชาญฉลาดนี้สามารถวิเคราะห์วัตถุแปลกปลอม พร้อมตรวจจับพฤติกรรมบุคคลที่น่าสงสัยได้ และยังส่งสัญญาณแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือหรือสั่งหยุดรถไฟในกรณีเหตุฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว หากมีผู้ใช้บริการเกิดอุบัติเหตุก็จะขอความช่วยเหลือแบบเรียลไทม์ ได้ทันที

 

โซลูชัน 5G ทั้งหมดนี้ สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ด้วยระบบ MEC หรือ Multi-access Edge Computing ซึ่งเป็นการวางโครงข่ายเทคโนโลยี 5G สุดล้ำสมัยทำให้ระบบอัจฉริยะต่าง ๆ ภายในสถานีเชื่อมต่อกันได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยของข้อมูลสูง ทั้งยังรองรับการต่อยอดโซลูชัน 5G ได้อีกหลากหลายในอนาคตด้วย

 

ถึงเวลาออกเดินทางสู่ Smart City 

 

ถึงแม้สถานี 5G อัจฉริยะ  จะเป็นเพียงหนึ่งในจิ๊กซอว์หลากหลายชิ้นสู่การเป็น Smart City เต็มตัว แต่หลายประเทศเลือกเริ่มต้นสร้าง Smart City ที่การคมนาคมเป็นอย่างแรก ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จมากก็คือ เมืองกวางโจว ประเทศจีน ที่ได้นำ 5G มาใช้กับรถไฟความเร็วสูงทั่วเมือง เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน พร้อมประหยัดแรงงานและเวลา ทำให้ผู้คนกว่า 20 ล้านคนในเมืองเดินทางได้เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และรื่นรมย์ขึ้น จนได้รางวัลในเวทีโลกหลายรางวัล และหลังจากประสบความสำเร็จในการคมนาคมแล้ว กวางโจวยังเดินหน้าติดตั้งสถานีกระจายสัญญาณ 5G ไว้ทั่วเมืองเพื่อเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับเทคโนโลยีอย่างทั่วถึง

 

 

สถานี 5G อัจฉริยะ  ในไทยก็กำลังมุ่งไปยังจุดหมายเดียวกับกวางโจวเช่นกัน ด้วยความสำเร็จของสถานีอัจฉริยะ ที่มีการใช้ประโยชน์ของเครือข่าย True 5G อย่างเต็มที่ สามารถใช้เป็นโมเดลเพื่อนำไปต่อยอดได้ แถมยังมีโอกาสสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านการคมนาคมทั่วประเทศไทยได้ด้วย ในอนาคต เราอาจได้เห็นสถานีอัจฉริยะ 5G แบบนี้ตั้งอยู่ทั่วทุกภูมิภาค และเชื่อมโยงกับอัจฉริยะอื่น ๆ ที่อยู่ภายนอกสถานี เช่น ระบบความปลอดภัยผ่านกล้องวงจรปิด ซึ่งในที่สุด เทคโนโลยี 5G ก็อาจจะนำประเทศไทยไปสู่ Smart City เต็มตัวได้ กลายเป็นเมืองที่สะดวกปลอดภัยสำหรับคนไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

 

ก้าวแรกของ 5G สู่อนาคตที่ดีกว่า

 

ถ้าอยากสัมผัสเทคโนโลยีสุดล้ำและความสะดวกสบายของ Smart City ก็สามารถทดลองใช้บริการสถานี 5G อัจฉริยะ  ที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ได้เลยวันนี้ เชื่อว่าสถานีนี้จะไม่ใช่แค่สร้างประสบการณ์ที่ดีเพื่อคนไทยเท่านั้น แต่ยังช่วยต้อนรับเหล่านักท่องเที่ยวที่เริ่มหลั่งไหลกลับมาเข้า และสร้างภาพความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับประเทศไทยได้แน่นอน

 

อ่านต่อ
True Digital Park กับบทบาทการสร้างระบบนิเวศ เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพไทย
True Blog 09 มี.ค. 2566

ตั้งแต่โลกเริ่มเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล มีธุรกิจสตาร์ทอัพจำนวนมากเกิดขึ้นทั่วโลก สำหรับประเทศไทย กระแสสตาร์ทอัพมาแรงตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน มีสตาร์ทอัพสัญชาติไทยแจ้งเกิดจำนวนมาก แต่ที่สามารถเติบโตและขยายธุรกิจได้กลับมีน้อยราย  ซึ่งสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญและจำเป็นที่จะช่วยให้สตาร์ทอัพเกิดและเติบโตได้อย่างมีคุณภาพก็คือ ระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ หรือ Startup Ecosystem

 

ทรู เป็นองค์กรเอกชนที่มีวิสัยทัศน์ก้าวสู่การเป็นบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี โดยหนึ่งในความมุ่งมั่นที่สำคัญ คือ การสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของ Tech Startup ในระดับภูมิภาค เพราะเชื่อว่ากลุ่มสตาร์ทอัพจะเป็นนักรบเศรษฐกิจรุ่นใหม่ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศได้ จึงเป็นที่มาของการลงทุนเพื่อสร้าง Startup Ecosystem ของไทย ซึ่งก็คือ ทรู ดิจิทัล พาร์ค (True Digital Park) นั่นเอง

 

ทรู ดิจิทัล พาร์ค เป็นศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน มีระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพที่สมบูรณ์แบบครบวงจรในพื้นที่เดียว โดยรวบรวมทั้ง บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัย นักลงทุน หน่วยงานภาครัฐ และสตาร์ทอัพผู้ประกอบการเทค อยู่ร่วมกันในระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกันภายใต้แนวคิด “Open Innovation” เพื่อหลอมรวมและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพให้เกิดขึ้นและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

 

นับเป็นพื้นที่เพื่อการพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่เกิดขึ้นจากการลงทุนของเอกชนโครงการแรกของประเทศไทย ขณะที่โครงการอื่น ๆ ทั่วโลกล้วนเกิดจากการสนับสนุนของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่ง ทรู ดิจิทัล พาร์ค มีความเพียบพร้อมของระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพครอบคลุมทุกมิติ

 

 

พื้นที่สร้างสรรค์นวัตกรรม สนับสนุนการทำงาน และสร้างชุมชนสตาร์ทอัพ

 

แน่นอนว่า สตาร์ทอัพที่เริ่มต้นทำธุรกิจอาจจะยังไม่มีสถานที่ทำงานเป็นของตัวเอง ทรู ดิจิทัล พาร์ค จึงเปิดพื้นที่ทำงาน ที่สนับสนุนให้สตาร์ทอัพในหลากหลายธุรกิจได้มารวมตัวในพื้นที่เดียวกัน และเกิดเป็นชุมชนสตาร์ทอัพ หรือ Startup Community ที่เปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนแนวคิดและเอื้อต่อการต่อยอดธุรกิจร่วมกันได้

 

ทรู ดิจิทัล พาร์ค ออกแบบพื้นที่ด้วยแนวคิด “Tomorrow Life Campus” ที่จะปลุกพลังคนรุ่นใหม่ให้ก้าวไปพร้อมกับนวัตกรรมดิจิทัลแห่งอนาคต และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคดิจิทัล ภายในมีการเปิดพื้นที่ให้สตาร์ทอัพใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ มีพื้นที่ทำงานที่เป็น Co-working Space รวมถึงพื้นที่ออฟฟิศหลากหลายขนาดที่รองรับได้ทั้งออฟฟิศขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ที่ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกร่วมกันได้ เพื่อรองรับสตาร์ทอัพขนาดเล็กที่ต้องการทำงานแบบประจำ ไปจนถึงออฟฟิศที่สามารถรองรับคนได้ถึง 2,000 คน ตอบโจทย์สตาร์ทอัพขนาดใหญ่ แต่ละชั้นมีบันไดเชื่อมถึงกัน พร้อมพื้นที่ส่วนกลาง ทั้งห้องประชุมหลากหลายขนาดที่มีอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างครบครัน สนับสนุนการพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์เป็นเครือข่ายชุมชนสตาร์ทอัพ

 

 

เติมเต็มความรู้แก่สตาร์ทอัพและคนรุ่นใหม่ ผ่านศูนย์รวมสถาบันการเรียนรู้ด้านดิจิทัลระดับโลก

 

หนึ่งในการสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์แบบเพื่อสตาร์ทอัพ คือการเปิดโอกาสการเรียนรู้และเพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลให้แก่สตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการเทค และคนรุ่นใหม่ที่สนใจเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งทรู ดิจิทัล พาร์ค ได้ร่วมมือกับพันธมิตรองค์กรเทคโนโลยีดิจิทัลระดับแนวหน้าของประเทศและของโลก เปิด “ศูนย์รวมสถาบันการเรียนรู้ด้านดิจิทัลระดับโลก” (True Digital Park House of Digital Academy) แห่งแรกและแห่งเดียวในไทย ซึ่งเป็นศูนย์รวมทุกโอกาสการเรียนรู้และเพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล ให้ผู้ที่สนใจได้เรียนรู้และอัปสกิลด้านดิจิทัล เพื่อสร้างบุคลากรของประเทศให้มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและตอบโจทย์องค์กรต่างๆที่เร่งทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล เตรียมพร้อมรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมและการลงทุนในยุค 4.0

 

ความร่วมมือในครั้งนี้ มีองค์กรพันธมิตรทั้งในไทยและระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Alibaba Cloud Thailand, Amazon Web Services, Cisco System (Thailand), Google Thailand, Huawei Cloud Thailand, Microsoft (Thailand), Mitsubishi, Sea (Thailand), True Digital Academy, Bit.studio, Tellscore, สมาคมโปรแกรมเมอร์ไทย และการตลาดวันละตอน ร่วมกันยกระดับความรู้และทักษะด้านดิจิทัลของคนไทย ช่วยเพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

เร่งสปีดสตาร์ทอัพเติบโตด้วยโปรแกรม Startup Sandbox

 

นอกเหนือจากเรื่องพื้นที่ทำงาน ที่ตอบโจทย์เวิร์กสไตล์ของสตาร์ทอัพแล้ว ทรู ดิจิทัล พาร์ค ยังเร่งเพิ่มศักยภาพการเติบโต พร้อมสร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ผ่านหลักสูตร และกิจกรรม อาทิ Startup Sandbox โปรแกรมระยะสั้น กดที่เป็นความร่วมมือระหว่างทรู ดิจิทัล พาร์ค และองค์กรขนาดใหญ่ สถาบันการศึกษา หรือ หน่วยงานภาครัฐ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้สตาร์ทอัพในประเทศไทย ด้วยพื้นที่ทำงาน แหล่งความรู้ ชุมชนสตาร์ทอัพ และโอกาสในการพบกูรูผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ รวมถึงเหล่านักลงทุน เพื่อให้สตาร์ทอัพสามารถต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด

 

 

โปรแกรม Startup Sandbox ไม่เพียงแค่ช่วยบ่มเพาะสตาร์ทอัพ แต่ยังส่งเสริมการนำเทคโนโลยีสื่อสารและดิจิทัลล้ำสมัยมาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของผู้คนหรือสำหรับภาคธุรกิจด้วย  อย่างเช่น ในยุคที่ 5G สามารถพลิกมิติใหม่ของภาคอุตสาหกรรม  True Digital Park ได้ร่วมมือกับ True 5G จัดเวทีประชันไอเดีย เช่น True5G Tech Sandbox ให้ผู้ที่สนใจร่วมสร้างสรรรค์นวัตกรรมโซลูชันเพื่อคนไทย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิต เมืองอัจฉริยะ การศึกษา การค้าปลีก เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ซึ่งผู้ที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโปรแกรม Sandbox นี้  ได้เรียนรู้ในการนำอัจฉริยภาพของเทคโนโลยี 5G ผสานเทคโนโลยีดิจิทัลหลากหลาย ต่อยอดไอเดียและลงมือพัฒนา ให้เกิดเป็นนวัตกรรมสินค้าหรือบริการที่ใช้งานได้จริง โดยมีผู้เชี่ยวชาญในวงการให้คำแนะนำ สนับสนุน ช่วยเหลือ พร้อมโอกาสได้รับเงินลงทุนจากนักลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจและสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตไปด้วยกัน

 

 TDPK One Stop Service for Startups ช่วยธุรกิจเดินหน้าไม่สะดุด

 

ทรู ดิจิทัล พาร์ค มีบริการ TDPK One Stop Service for Startups ศูนย์ให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาในการดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพในด้านต่าง ๆ อาทิ การขอสมาร์ทวีซ่า บัญชีและกฎหมาย สิทธิประโยชน์ทางภาษีและการส่งเสริมการลงทุน การหาพันธมิตรทางธุรกิจ การจัดหาทีมงานหรือบุคลากรสายเทค บริการคลาวด์ และโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สนับสนุนในเรื่องสิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับบริษัทที่จะเข้ามาอยู่ในทรู ดิจิทัล พาร์ค นอกจากนี้ ยังมีสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ที่เข้ามาเปิดศูนย์บริการเพื่อรองรับผู้ประกอบการที่สนใจจะเข้าไปสู่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

 

ศูนย์แห่งนี้จะเชื่อมโยงและอำนวยความสะดวกให้สตาร์ทอัพเข้าถึงหลาย ๆ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐ ที่มีส่วนสำคัญการในสนับสนุน ส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ สนับสนุนทางด้านเทคโนโลยี พาออกตลาดต่างประเทศ ตลอดจนออกกฎเกณฑ์ทางด้านข้อปฎิบัติ และกฎหมายต่าง ๆ ที่เอื้อประโยชน์ต่อการสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพ

 

ระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ ที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่สุด

 

 

ทรู ดิจิทัล พาร์ค ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสนับสนุนสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่อง โดยเปิด ทรู ดิจิทัล พาร์ค เวสต์  ประเดิมด้วยพื้นที่จัดงานอีเวนต์และการประชุม โดยมีการจัดสรรพื้นที่ที่หลากหลาย รองรับได้ทั้งงานแสดง งานประชุม งานเสวนา หรือเวิร์กช็อปทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ และคอนเวนชันฮอลล์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีครบครัน และล่าสุดกับ ห้องสมุดมีชีวิต TK PARK  รองรับทั้งการทำงาน การศึกษา และเป็นพื้นที่เชิงการเรียนรู้ครบวงจร รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สีเขียว สวนลอยฟ้า และร้านค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่า ทรู ดิจิทัล พาร์ค ส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ ที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่สุด

 

 

ทรู เชื่อมั่นในศักยภาพของสตาร์ทอัพไทย และมุ่งมั่นสร้างสรรค์ให้ทรู ดิจิทัล พาร์ค มีระบบนิเวศเพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพที่สมบูรณ์แบบ เอื้อต่อการพัฒนาด้านดิจิทัลของไทย พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางของ Tech Startup ในระดับภูมิภาค และนำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย 

 

คลิกดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทรู ดิจิทัล พาร์ค ได้ที่นี่

 

อ้างอิง

 

อ่านต่อ
ทรู กับเส้นทางสู่เทคคอมปานี เตรียมอัปเกรดทุกมิติ พร้อมจับมือเดินหน้าไปด้วยกัน เพื่อมอบสิ่งที่ดียิ่งกว่า สำหรับลูกค้าคนสำคัญ
True Blog 20 ม.ค. 2566

นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของคนไทยและประเทศไทยที่จะมีโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่ดีระดับโลก ต่อยอดสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ได้ใช้นวัตกรรม บริการ และเทคโนโลยีใหม่ๆ หลังการรวมบมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และบมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (“ทรู-ดีแทค”)  ซึ่งภายหลังการประกาศรวมธุรกิจที่จะต้องเดินหน้าร่วมกันเพื่อก้าวสู่ความเป็นเทคคอมปานี มอบสิ่งที่ดีกว่าให้กับลูกค้าและนำพาชาวไทยเปลี่ยนสู่ชีวิตดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้น เมื่อทรูและดีแทคได้ดำเนินการรวมธุรกิจตามขั้นตอน พร้อมเป็นบริษัทใหม่ ที่ยังคงมีทั้งแบรนด์ทรูและดีแทคแล้ว จะเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นว่า “เมื่อเรารวมกัน ทุกสิ่งจะดียิ่งกว่า”

 

เราเชื่อว่า สิ่งที่มาพร้อมกับการรวมธุรกิจ ไม่ใช่มีเพียงแค่การเกิดขึ้นของบริษัทใหม่เท่านั้น แต่เป็นการนำความฝันในยุคดิจิทัลมาทำให้เป็นจริง เพราะเราจะนำศักยภาพที่แข็งแกร่งมารวมกันเพื่อสร้างสิ่งที่ดียิ่งกว่าเดิม

 

 

สิ่งที่ลูกค้าทรู จะได้รับทันทีหลังการรวมธุรกิจ คือ เครือข่ายคุณภาพที่กว้างขึ้น เชื่อมโยงครบทุกคลื่นความถี่ ครอบคลุมยิ่งขึ้นกว่าเดิม จากการที่บริษัทใหม่นี้จะก้าวเป็นผู้ให้บริการซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อันจะทำให้สามารถรองรับไลฟ์สไตล์ชีวิตดิจิทัลที่กำลังขยายตัวไปสู่ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงโอกาสการสร้างนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

 

นอกจากนี้ ลูกค้าทรูซึ่งปัจจุบันมีสิทธิพิเศษจากบริการที่หลากหลายของกลุ่มทรู ทั้งทรูมูฟ เอช ทรูออนไลน์ ทรูวิชั่นส์ ทรูไอดี ทรูมันนี่ ทรูดิจิทัล ทรูคอฟฟี่ รวมทั้งทรูยูแล้ว ยังจะได้รับสิทธิพิเศษที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะจากการรวมธุรกิจจะเป็นการรวมพันธมิตรรายใหม่เพิ่มเติมยิ่งขึ้น ตอบโจทย์หลากหลายไลฟ์สไตล์ที่ครบครันยิ่งกว่าเดิม

 

ลูกค้าทรู ยังจะมีโอกาสที่จะได้รับการพัฒนาบริการที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม จากการนำเทคโนโลยี และประสบการณ์ ด้านการบริการในธุรกิจโทรคมนาคมจากทั่วโลกทั้งจากผู้ร่วมทุนและพันธมิตรรายใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเพิ่มศักยภาพให้กับบริษัทใหม่ในการพัฒนาขีดความสามารถให้หลากหลายครอบคลุมไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของลูกค้าครบในทุกมิติ

 

ยิ่งไปกว่านั้น  การก้าวสู่ความเป็นเทคคอมปานีของบริษัทใหม่นี้  ยังเพิ่มขีดความสามารถในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่รูปแบบดิจิทัล ทั้งการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่ครบวงจร เพื่อเชื่อมต่อคน ธุรกิจ สังคม และเศรษฐกิจ ผ่าน IoT, Cloud และหลากหลายเทคโนโลยีดิจิทัลแบบ Open Source  รวมทั้งการพัฒนาและเชื่อมโยงธุรกิจหลักในทุกภาคอุตสาหกรรมผ่านเทคโนโลยียุคใหม่ และโครงข่าย 5G เช่น การศึกษา เกษตรกรรม การแพทย์ การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมต่างๆ  ตลอดจนการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning (ML) ระดับโลกเข้ามามีบทบาทสำคัญในการร่วมพัฒนาประเทศและขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ทั้งกลุ่มธุรกิจ ลูกค้าผู้บริโภค และประชาชนชาวไทย ต่างได้รับประโยชน์สูงสุดจากศักยภาพของบริษัทใหม่

 

ขณะเดียวกัน การรวมธุรกิจครั้งนี้ จะเพิ่มโอกาสนำเทคโนโลยีดิจิทัลลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างประโยชน์ให้ทุกภาคส่วนร่วมกัน รวมถึงการเกิดขึ้นของศูนย์นวัตกรรมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลเทคโนโลยีระดับโลก และทำให้เกิดการจัดตั้งกองทุนวงเงินกว่า 7,300 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยที่มีศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมให้ประสบความสำเร็จพร้อมแข่งขันกับนานาประเทศทั่วโลก ตลอดจนเป็นช่องทางให้เข้าถึงคลังข้อมูลบนแพลตฟอร์มแห่งโอกาสที่ครอบคลุมประชากรกว่า 99% ในประเทศ

 

ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่เราตั้งใจร่วมกัน  “เพื่อมอบสิ่งที่ดียิ่งกว่า ให้กับลูกค้าคนสำคัญทุกคน” 

 

#อยู่ทรูยิ่งได้มากขึ้น

#ยิ่งรู้จักยิ่งรักทรู

#ย้ายมาทรูสู่ยุคใหม่ไปด้วยกัน

อ่านต่อ
เคล็ด (ไม่) ลับ กับการทำงานอย่างมีความสุขในแบบฉบับทีมทรู
True Blog 16 มี.ค. 2566

เบื้องหลังความสำเร็จของงาน นอกจากความชำนาญ และความทุ่มเท ร่วมแรงร่วมใจของทีมที่มอบให้กับงานแล้ว ปัจจัยหลักที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “ความสุข”  โดยเฉพาะในองค์กรต่าง ๆ  หากพนักงานทำงานด้วยความสุขทั้งกายและใจเป็นพื้นฐานแล้ว องค์กรนั้นย่อมมีบรรยากาศการทำงานที่ดี และก่อเกิดนวัตกรรม สร้างผลงานที่โดดเด่นเช่นกัน

 

องค์กรยุคใหม่ทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานให้ทำงานอย่างมีความสุข ทั้งทางกายและทางจิตใจไปพร้อมกัน สำหรับประเทศไทย ทรู เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นดูแลและให้ความสำคัญกับพนักงานทุกคนเป็นอันดับแรก โดยส่งเสริมให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุขในทุกด้าน นอกเหนือจากการดูแลด้านความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีแล้ว ยังใส่ใจในการส่งเสริมความสุขใจทั้งในการทำงานและการดำเนินชีวิตไปพร้อมกัน ผ่านสวัสดิการและกิจกรรมที่หลากหลาย

 

หนึ่งในกิจกรรมที่ได้สาระความรู้ไปพร้อมกับการสนับสนุนความสุขของพนักงานยิ่งขึ้น คือ การพบปะพูดคุย และรับฟังเคล็ดลับที่เป็นประโยชน์ จากผู้เชี่ยวชาญและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังที่หลายคนชื่นชอบ ในหัวข้อที่หลากหลาย ซึ่งขอหยิบยกเคล็ดลับดี ๆ จาก 2 กิจกรรมเด่นในช่วงที่ผ่านมา ให้ทุกคนได้นำไปปรับใช้ด้วยกัน

 

ความสุขที่มาพร้อมกับการรู้จักตัวเอง

 

 

ในการทำงานและการใช้ชีวิต พนักงานอาจมีความเครียดได้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดได้กับทุกคน บางคนอาจจะเครียดโดยไม่รู้สึกตัวได้เช่นกัน ภาวะเช่นนี้เราหาทางป้องกันและแก้ไขได้ โดยแปรเปลี่ยนให้เป็นการรู้จักตัวเองและนำมาซึ่งความสุข


ดร. โฟม สุธาสินี เชาวน์เลิศเสรี นักจิตวิทยาให้คำปรึกษา และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตองค์กร ผู้ก่อตั้ง ALRISE ศูนย์บริการเชิงจิตวิทยาและพัฒนาบุคคลเชิงองค์รวม ได้มาแชร์เทคนิคน่ารู้ในการรู้จักตัวเองผ่านวิธีการทำ Self-reflection  หรือการสะท้อนตัวเองจากการคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับตัวเอง เพื่อให้ชาวทรูได้นำไปใช้ในการสร้างความเข้าใจและพัฒนาตัวเองได้อย่างเต็มที่ ตามขั้นตอนต่อไปนี้

 

1. สำรวจก่อนว่าเราพร้อมที่จะอยู่คนเดียวเพื่อทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ หรือไม่ หากไม่พร้อมให้ไปทำกิจกรรมอย่างอื่นที่เสริมสร้างความสุขให้สบายใจ เช่น ร้องเพลง กิน เที่ยว ไปอยู่กับธรรมชาติ

 

2. เมื่อพร้อมแล้ว ให้หาช่วงเวลาที่จะนั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ อยู่คนเดียวในห้อง ไม่มีใครรบกวน อย่างน้อย 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงอย่างต่อเนื่อง  

 

3. เตรียมกระดาษ ปากกาให้พร้อม เพื่อเขียนตอบตัวเองในกระดาษว่า ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเราบ้าง สถานการณ์ที่เราเจอเป็นอย่างไร ในจุดนี้หลายคนอาจจะมีคำถามว่า ถ้าคิดไม่ออกจะทำอย่างไร เราต้องให้เวลาตัวเองเพิ่ม นี่คือชีวิตของเรา มีเพียงเราคนเดียวเท่านั้นที่รู้

 

4. หลังจากเขียนปัญหาออกมาแล้ว ให้ถามตัวเองต่อไปว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร สาเหตุมาจากไหน โดยถามตัวเองด้วยคำถามเดิมนี้ ทั้งหมด 5 รอบ เพื่อให้เราค่อย ๆ เจาะลึกถึงลงไปเรื่อย ๆ จนเจอสาเหตุที่แท้จริง

 

5. กระบวนการทั้งหมดจะทำให้เราเห็นปัญหา รู้สาเหตุ และเข้าใจตัวเองยิ่งขึ้น หลายคนอาจมีเรื่องที่อยากทำความเข้าใจตัวเองหลายเรื่อง ให้เริ่มจากเรื่องเดียวก่อน เมื่อทำสำเร็จแล้วไปหนึ่งเรื่องแล้ว จึงย้อนกลับมาทำตามขั้นตอนแรกเพื่อจัดการเรื่องอื่น ๆ ต่อไป

 

การทำ self-reflection นี้ ก็เพื่อให้เราเข้าใจตัวเอง และจัดการเรื่องที่ติดค้างอยู่ เพื่อให้เราเข้าใจเรื่องราวต่างๆ และตัวเองมากขึ้น และเกิดความสุขและสบายใจมากขึ้นนั่นเอง

 

ทำงานสนุกแบบพลังใจล้น เราทุกคนพร้อมเดินหน้าไปด้วยกัน

 

 

การมีคนเข้าใจ แบ่งปันพลังงานบวก ย่อมทำให้จิตใจมีความสุขและพร้อมทำงานได้อย่างเต็มที่ ดีเจอ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านความรักความสัมพันธ์ จากรายการ Club Friday ได้พูดคุยถึงแนวโน้มหรือกระแสที่สังคมคนทำงานและองค์กรพูดถึงกันมากโดยเฉพาะตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 นั่นคือ ภาวะการหมดไฟในการทำงาน พร้อมแชร์ข้อคิดและเคล็ดลับดี ๆ ให้ชาวทรูได้อบอุ่นใจ เพิ่มพลังการทำงานได้อย่างมีความสุขล้นเหลือ ด้วยวิธีที่ง่าย ๆ แต่ทำแล้วสบายใจมาก

 

1. ทุกคนท้อได้ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เราอาจได้ยินคำว่า ‘ท้อแล้วให้รีบลุกขึ้นมา’ แต่จะดียิ่งกว่าถ้าเรายอมรับความจริงก่อนว่า เรากำลังเริ่มเหนื่อย เพราะการที่จิตใจและร่างกายเริ่มเข้าภาวะหมดไฟ นั่นหมายความว่า ร่างกายกำลังส่งสัญญาณว่า เราใช้ร่างกายหนักเกินไป

 

2. หากอยากมีพลังทำงานในทุก ๆ วัน ให้ถามตัวเองบ้างว่า เหนื่อยไหม ถ้าเหนื่อยต้องพัก ซึ่งวิธีการพักไม่ต้องมองถึงสิ่งไกลตัว แค่ได้กินของอร่อยที่อยากกิน เจอเพื่อนก็ได้ ที่สำคัญก็คือ อย่าทำแต่อะไรที่เป็นกิจวัตรประจำวัน จนกระทั่งลืมไปว่า ความต้องการจริง ๆ ของเราคืออะไร

 

3. คำชื่นชมจากหัวหน้าเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะเป็นกำลังใจเพื่อจะบอกว่าคน ๆ นั้นมีความสำคัญกับองค์กรแค่ไหน และสำคัญที่สุดคือ คำชมที่ให้กับตัวเอง ซึ่งการชมตัวเองไม่ใช่การโอ้อวด แต่เป็นการบอกให้รู้ว่าเราก็เป็นคนหนึ่งที่มีศักยภาพ เราจะได้รู้สึกมีพลังในตัวเองด้ว

 

นอกจากนี้ ดีเจอ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล ได้ทิ้งท้ายไว้เกี่ยวกับสวัสดิการในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มพลังใจและดูแลสุขภาพใจของพนักงานว่า

 

ถ้าเมื่อไรก็ตามที่จิตใจของเราเหนื่อยล้า เราจะไม่มีพลังไปทำงาน ตอนนี้สวัสดิการในบริษัทหลายที่ทั่วโลกเน้นการดูแลสุขภาพใจ ส่วนในประเทศไทย ทรูเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญในการดูแลเรื่องสุขภาพใจ เมื่อบริษัทดูแลดีทุกคนจะเอาหัวใจลงไปทำงาน และถ้าหากใครที่เอาหัวใจลงไปทำงาน ก็จะมีพลังบางอย่างที่ผลักดันให้เราเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน

 

ขับเคลื่อนองค์กรด้วยความสุขของพนักงาน

 

เพราะเชื่อว่า “คน” เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร ทรูจึงมุ่งเน้นดูแลให้พนักงานทุกคนในองค์กรทำงานอย่างมีความสุข  เป็น People Organization ที่นึกถึงพนักงานเป็นอันดับแรก โดยดูแลความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิตที่ทั้งกายและใจ เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานด้วยความมั่นใจ สบายใจ และมีความสุข

 

ในด้านของการดูแลความสุขและพลังใจนั้น นอกเหนือจากการจัดกิจกรรมพบปะและแชร์เคล็ดลับความรู้ที่ดูแลและผ่อนคลายจิตใจแล้ว

 


 

ทรูยังให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพกายอย่างมากเช่นกัน ตั้งแต่การใส่ใจในเรื่องเล็ก ๆ เช่น จัดห้อง Nap ให้สำหรับพนักงานที่ต้องการมาพักผ่อนสมองและร่างกาย เพื่อความผ่อนคลายในช่วงพักระหว่างวันเป็นเวลาสั้น ๆ พร้อมเติมกำลังในการทำงานอย่างสดชื่น  หรือหากมีอาการเมื่อยล้าร่างกายก็มีบริการนวดเพื่อสุขภาพ หรือทำกายภาพบำบัดโดยผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกให้กับพนักงานที่รักการออกกำลังกาย ให้ได้มาใช้ฟิตเนสในออฟฟิศ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปที่อื่นอีกด้วย เรียกได้ว่า ทรู จัดสวัสดิการที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ และดูแลความเป็นอยู่และความสุขทั้งกายใจของพนักงานได้อย่างดีเยี่ยม

 

นอกจากนี้ยังมีสวัสดิการที่ดูแลเฉพาะทางสำหรับผู้ที่ต้องการพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ ผ่านบริการที่สะดวกด้วยการปรึกษาทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน MorDee เพราะเรื่องการดูแลสุขภาพใจเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับการดูแลสุขภาพกาย

 

การทำงานที่เริ่มต้นด้วยจิตใจ และร่างกายที่ดี ถือเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะขับเคลื่อนให้ผลงานออกมาสำเร็จตามเป้าหมาย ฉะนั้นหมั่นเติมพลังใจ ทำให้ตัวเรามีความสุขเข้าไว้ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานต่อไปได้อย่างไร้ขีดจำกัดไปด้วยกัน

 

อ่านต่อ
จะนั่งทำงานที่ไหน ชาวทรูก็ใกล้ชิดกันได้ ผ่าน True Connect
True Blog 30 ก.ย. 2565

การระบาดของโควิด-19 ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงานเปลี่ยนแปลงไปสู่วิถีใหม่ หลายองค์กรเริ่มจากปรับเปลี่ยนให้พนักงานทำงานจากบ้าน (Work From Home) และยกระดับสู่การทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work From Anywhere) จนทุกวันนี้กลายเป็นการทำงานวิถีใหม่ที่หลาย ๆ องค์กรมีทางเลือกให้พนักงานทำงานในรูปแบบ Hybrid Work โดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาทำงานในออฟฟิศทุกวัน

 

การที่พนักงานสามารถทำงานจากสถานที่ต่าง ๆ ได้ กลายเป็นความท้าทายของฝ่ายบุคคล หรือ  HR ที่จะต้องคอยดูแลและอำนวยความสะดวกให้พนักงานสามารถทำงานได้ราบรื่นที่สุด อีกทั้งยังต้องเชื่อมโยงพนักงานให้ติดต่อประสานงานกันได้ง่าย และยังรู้สึกใกล้ชิดกับองค์กรเช่นเดิม ในสถานการณ์เช่นนี้ เทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากที่จะช่วยให้ HR สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับความคาดหวังของพนักงานทุกคนในองค์กร 

 

 

Mobile Application เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงการสื่อสารและการทำงานของพนักงานในองค์กรได้อย่างรวดเร็ว เอื้อให้พนักงานทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งานได้จากทุกที่และทุกเวลา ตอบโจทย์การทำงานแบบ Hybrid Work ได้เป็นอย่างดี ยิ่งในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลก้าวล้ำไปมาก Mobile Application ก็สามารถพัฒนาให้มีฟังก์ชันหลากหลาย ตอบโจทย์การใช้งานขององค์กรได้มากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นเสมือนศูนย์กลางการทำงาน ที่ทั้งรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สร้างระบบมอบหมายงานและอนุมัติงาน รวมถึงเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างกันของพนักงานทุกคน 

 

 

HR ยุคใหม่ในแบบทรู ดูแลพนักงาน สร้างความผูกพัน ผ่านแอปพลิเคชัน True Connect

 

 

ทรู ได้ทรานสฟอร์มสู่องค์กรดิจิทัล ก้าวสู่เทคคอมปานีเต็มรูปแบบ  เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ โดยมีการวางแผนและเตรียมความพร้อม มุ่งเน้นการบริหารทรัพยากรบุคคลอย่างรอบด้าน ให้ความสำคัญด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนงาน และมีพนักงานเป็นเสมือนหัวใจที่ขับเคลื่อนให้องค์กรประสบความสำเร็จ ทรูจึงเน้นการพัฒนาคน ควบคู่กับการให้ความสำคัญเรื่องการดูแลพนักงานให้ทำงานอย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างสิ่งแวดล้อมที่สามารถเติมเต็มความรู้และทักษะแก่พนักงานจนเต็มศักยภาพ 

 

 

หนึ่งในเทคโนโลยีที่ทรูได้นำมาดูแลพนักงานอย่างใกล้ชิด คือ แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า “True Connect” ซึ่งทำหน้าที่เป็น เหมือน Super App ที่รวมทุกบริการที่พนักงานทรูจำเป็นต้องใช้ทั้งหมดเข้าด้วยกัน โดยสามารถใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

 

 

 

 

ฟีเจอร์การใช้งานของ True Connect เรียกได้ว่า ครบ จบ ในแอปเดียว ที่สำคัญ คือ มั่นใจในความปลอดภัยสูงสุดของข้อมูล ตัวอย่างฟีเจอร์เด่นที่พนักงานนิยมใช้งาน ได้แก่ Chat ที่ช่วยให้สื่อสารกันได้สะดวกผ่านการพิมพ์ข้อความ โทร วิดีโอคอล ทั้งแบบเดี่ยวและกลุ่ม รวมถึงการส่งภาพ แชร์ไฟล์ ที่ดูย้อนหลังได้และไม่มีหมดอายุ  People  รวบรวมข้อมูลการติดต่อพนักงานทุกคนทั้งบริษัทไว้ในที่เดียว โดยสามารถค้นหาเพื่อนร่วมงานหรือติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ได้สะดวกมาก Portal รวบรวมระบบและเว็บไซต์อื่น ๆ ขององค์กรเอาไว้ เพื่อให้เข้าถึงสะดวก ไม่ต้องเข้าผ่านช่องทางอื่น  Form แบบฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ ที่สะดวกต่อการอนุมัติงานต่าง ๆ จากระบบ พร้อมกับลดการใช้กระดาษ เป็นต้น

 

 

นอกจากนี้ พนักงานทุกคนยังเข้าถึงบริการ HR Services ได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการใช้สิทธิ์วันลา การขอสลิปเงินเดือน ใบรับรองการทำงาน  การเบิกค่ารักษาพยาบาลประกันสังคมและประกันสุขภาพ ไปจนถึงการรับสิทธิพิเศษ และโปรโมชั่นสินค้าและบริการต่าง ๆ เพื่อพนักงานในกลุ่มทรู เรียกได้ว่า พนักงานทุกคนสามารถติดต่อบริษัทและเข้าถึงสิทธิประโยชน์ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม 

 

 

รางวัล “HR Excellence Awards 2021” บทพิสูจน์องค์กรแห่งความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล

 

 

ทรูนำเทคโนโลยีมาใช้ในการขับเคลื่อนงาน ควบคู่กับ การดูแลพนักงานอย่างต่อเนื่องครอบคลุมทุกมิติ ด้วยความเชื่อว่า “คน” เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญขององค์กร สะท้อนความสำเร็จด้วยรางวัล “HR Excellence Awards 2021” ระดับ Gold สาขาความเป็นเลิศด้านการนำนวัตกรรมมาใช้ในเทคโนโลยีการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Excellence in Innovative Use of HR Tech) ในฐานะองค์กรที่มีการนำนวัตกรรมเทคโนโยดิจิทัลมาใช้ในกระบวนการบริหารจัดการบุคคล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและสร้างประสบการณ์ที่ดีด้านดิจิทัลให้แก่พนักงาน อันเป็นการเสริมสร้างและสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วขององค์กรและธุรกิจในรูปแบบของ Digital Transformation โดยทรูเป็นองค์กรสื่อสารโทรคมนาคมไทยเพียงรายเดียวที่ได้รับรางวัล “HR Excellence Awards 2021” สูงสุดถึง 9 สาขา ประกอบด้วย 2 รางวัลระดับ Gold และ 3 รางวัลระดับ Silver รวมทั้งได้รับการรับรองความเป็นเลิศในระดับประเทศอีก 4 สาขาจากสถาบัน Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์  

 

 

 

 

สรุปข้อดีของการนำ Mobile Application มาใช้ในกลุ่มพนักงาน 

 

 

  • เข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ ทุกเวลา พนักงานสามารถค้นหาและเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้การทำงาน การติดต่อสื่อสารกับคนในองค์กรเป็นไปอย่างสะดวกและราบรื่น รวมถึงการเข้าถึงสวัสดิการของตัวเองได้อย่างง่ายดาย 
  • ทำงานได้เร็ว ลดความซ้ำซ้อน การรวมระบบงานต่างๆไว้ในแอปพลิเคชัน ช่วยลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานรูปแบบเดิม รวมถึงเป็นการลดการใช้กระดาษได้อีกด้วย
  • สร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานได้ง่ายขึ้น เมื่อพนักงานทุกคนสามารถรับข่าวสาร ข้อมูลสำคัญ พร้อมติดต่อสื่อสารกันได้ผ่านแอปพลิเคชันที่เป็นศูนย์กลางขององค์กร เอื้อต่อการมีส่วนร่วมของพนักงาน ทำให้รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ส่งผลต่อความรู้สึกผูกพันต่อเพื่อนร่วมงาน เพื่อนพนักงาน และองค์กรได้มากขึ้น
  • เก็บรักษาข้อมูลได้อย่างปลอดภัยสูงสุด การสื่อสารหรือส่งเอกสารสำคัญต่างๆในการทำงานผ่านแอปพลิเคชันภายในองค์กรจะเป็นการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลภายในองค์กร อีกทั้งยังมั่นใจได้ว่าข้อมูลสำคัญถูกจัดเก็บไว้ในบริษัทด้วยระบบที่มีการดูแล ปกป้อง และคุ้มครองข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูงสุด 

 

 


ในยุคดิจิทัลที่ทุกคนต่างใช้สมาร์ทโฟนเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในชีวิตประจำวันกันแทบทุกเจเนอเรชัน  Mobile Application จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางการสื่อสารผ่านออนไลน์ที่เพิ่มความสะดวกในการสื่อสาร และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานในองค์กร อีกทั้งยังเป็นการสร้างประสบการณ์ดิจิทัล สร้างความผูกพันให้ทีมงาน เพื่อนร่วมงาน และองค์กร ใกล้ชิดกันได้มากขึ้น ไม่ว่าจะนั่งทำงานอยู่ที่ไหนก็ตาม

 

อ่านต่อ
Say No to Plastic Bottles ปรับชีวิต เปลี่ยนโลกให้น่าอยู่
True Blog 15 ก.ย. 2565

นับตั้งแต่วันที่ขวดพลาสติกบรรจุเครื่องดื่มผลิตขึ้นมา โลกของเราก็เปลี่ยนแปลงไป

 

การบริโภคเครื่องดื่มจากขวดพลาสติกนั้นแสนสะดวกสบาย ยอดขายเครื่องดื่มบรรจุขวดที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการผลิตขวดน้ำพลาสติกที่สูงขึ้นอย่างมหาศาล เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค และในที่สุดก็เป็นการสร้างขยะขวดพลาสติกที่กลายเป็นปัญหาสะสมมาเนิ่นนานอย่างที่ชาวโลกไม่รู้ตัว

ลองสังเกตง่าย ๆ ถ้าวันนี้เรากระหาย อยากดื่มเครื่องดื่มเพิ่มความรู้สึกสดชื่น เราก็มักจะเดินไปที่ร้านค้า หยิบน้ำดื่มหรือเครื่องดื่มบรรจุพลาสติกขึ้นมาแล้วเดินไปจ่ายเงิน ก่อนเปิดดื่ม และทิ้งขวดเหล่านั้นไปโดยอัตโนมัติ หนึ่งคำถามฉุกคิดคือ เราเคยย้อนมองกันไหมว่า ที่ผ่านมา เราทิ้งขวดพลาสติกกันมานานและมากแค่ไหนแล้ว และจุดหมายปลายทางของขวดพลาสติกเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร ทำไมทุกวันนี้เราถึงได้เห็นภาพขยะขวดพลาสติกและขยะอื่น ๆ กองกันเป็นภูเขาล้นโลก

 

 

การหลั่งไหลของพลาสติก

 

 

ตั้งแต่มีการเริ่มผลิตพลาสติกในช่วงทศวรรษที่ 20 มนุษย์เราได้ใช้ประโยชน์จากพลาสติกมากมาย และนำไปสู่ต้นกำเนิดของบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ปูทางให้เกิดการผลิตสินค้าในปริมาณมหาศาล สินค้านับไม่ถ้วนที่เราใช้ในปัจจุบันต่างก็ต้องพึ่งพาบรรจุภัณฑ์พลาสติกเพื่อความปลอดภัย พร้อมความสะดวกในการขนส่งและการบริโภค ซึ่งรวมถึงขวดพลาสติกบรรจุน้ำดื่มและเครื่องดื่มที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นมาจนถึงปัจจุบัน

 


เมื่อวันเวลาผ่านไป สิ่งที่ตามมาจากความสะดวกสบายในการบริโภค คือขยะพลาสติกที่นับวันยิ่งล้นโลก ข้อมูลจาก Reuters ระบุว่า ในปี 2018 ปริมาณการใช้ขวดพลาสติกทั่วโลกในหนึ่งปีอยู่ที่ 481.6 พันล้านขวด ส่วนสถิติการใช้ขวดพลาสติกในประเทศไทยสูงถึงปีละ 4,000 ล้านขวด
รู้หรือไม่ว่า จำนวนขวดพลาสติกมหาศาลขนาดนี้ ไม่สามารถนำมารีไซเคิลได้ทั้งหมด ขยะพลาสติกเหล่านี้จะยังคงอยู่บนโลกของเราไปเป็นร้อยปี กว่าจะย่อยสลายไปด้วยตัวเอง

 

 

 

 

เรื่องจริงของขวดน้ำพลาสติก

 

 

หลาย ๆ คนอาจคิดว่า ขวดพลาสติกบรรจุเครื่องดื่ม สามารถรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ได้ใหม่ แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีข้อเท็จจริงอีกหลายประการที่ควรตระหนักให้มากขึ้น ลองมาดูข้อมูลน่ารู้เหล่านี้กัน

 

 

  • ขวดพลาสติกที่นำไปรีไซเคิลได้มีเพียง 1 ใน 5 เท่านั้น ขวดพลาสติกที่รีไซเคิลไม่ได้จะกลายเป็นขยะและฝังกลบอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้

  • ทุกวินาทีที่กำลังดำเนินไป จะมีขวดพลาสติกประมาณ 1,500 ขวดกลายเป็นขยะในบ่อฝังกลบหรือถูกโยนลงทะเล

  • ขวดพลาสติก PET 1 ขวด ใช้เวลาถึง 700 ปีจึงจะเริ่มย่อยสลาย เพราะแบคทีเรียที่ช่วยในการย่อยวัสดุธรรมชาติ ไม่ชอบพลาสติกที่มีสารพื้นฐานจากปิโตรเลียม  อาจกล่าวได้ว่า ขวดพลาสติกเหล่านี้อาจจะคงอยู่ตลอดไป

  • ร้อยละ 90 ของขยะในทะเลที่พัดพาขึ้นมาตามชายหาดหลายๆ แห่งคือขวดน้ำพลาสติก โดยเฉพาะฝาที่ตกค้างอยู่ตามหาดทรายและซอกหิน

  • แม้ว่าขวดพลาสติกจะนำไปรีไซเคิลได้ แต่กระบวนการรีไซเคิลต้องใช้พลังงานมหาศาล กลายเป็นส่วนหนึ่งในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในบรรยากาศ



  •  
  •  

 

 

ทรู ร่วมปรับเปลี่ยน เพื่อโลกที่ดีกว่า

 

 

ทรู เป็นหนึ่งในองค์กรไทยที่มุ่งเน้นการพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และนโยบายด้านความยั่งยืน ใน 3 มิติ คือ มิติด้านเศรษฐกิจ มิติด้านสังคม และมิติด้านสิ่งแวดล้อม โดยในด้านสิ่งแวดล้อม ทรูมีนโยบาย Net Zero Carbon โดยเฉพาะเรื่องการลดใช้พลาสติก ด้วยเป้าหมายลดการนำขวดพลาสติกเข้ามาในอาคารให้มากที่สุดจนเหลือเป็นศูนย์ ตอกย้ำความพร้อมเดินหน้าสู่การเป็นองค์กร Carbon Neutral ด้วยความมุ่งมั่นลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2573 ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายด้านความยั่งยืนของทรู

 

 

ทรูได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ด้วยความกล้าคิด กล้าทำ และใส่ใจสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุด พร้อมดูแลคุณภาพชีวิตของพนักงานทรู ควบคู่ไปกับการส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้สังคม และดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน หนึ่งในนั้นคือโครงการ Say No to Plastic Bottles

 

 

ดื่มน้ำกรอง RO สุดสะอาด ร่วมกัน Say No to Plastic Bottles

 

 

ทรู รวมพลังพนักงานร่วมกัน ลด ละ เลิกการใช้ขวดน้ำพลาสติก โดยหันมาพกแก้วน้ำและขวดน้ำส่วนตัวมาที่ออฟฟิศ เพื่อบรรจุน้ำกรองที่มีความบริสุทธิ์สำหรับดื่ม ที่ทรูจัดเตรียมไว้ให้พนักงานโดยเฉพาะ ซึ่งก็คือ RO Water นั่นเอง

 

 

โดย ทรู เลือกใช้อุปกรณ์มาตรฐานสูง และกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน สร้าง RO Water Plant เครื่องผลิตน้ำ RO + UV ด้วยกำลังการผลิต 24,000 ลิตรต่อวัน ผ่านมาตรฐาน NSF / ASME BPE ในห้องปลอดเชื้อ Class 100,000 ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย เพื่อผลิตน้ำดื่มคุณภาพสูงเทียบเท่าน้ำกลั่น  มีความบริสุทธิ์สูง ไว้ให้พนักงานได้บริโภคอย่างมั่นใจ และใช้ท่อสแตนเลส 316L ซึ่งเป็นเกรดทางการแพทย์สำหรับจ่ายน้ำไปยังตู้กดน้ำมากกว่า 60 จุดกระจายทั่วทุกชั้นในอาคารทรู ทาวเวอร์ 1 

 

 

 

 

พนักงานสามารถนำขวดหรือแก้วน้ำมาเติมน้ำดื่ม RO ที่สะอาด ถูกสุขอนามัย แทนการซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติก ซึ่งจากสถิติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขขยะประเภทขวดพลาสติกในอาคารทรู ทาวเวอร์ มีจำนวนเฉลี่ยปีละ 400,000 ขวด เมื่อพนักงานทรูร่วมใจกันคนละไม้คนละมือ ใน 1 ปี จะสามารถลดขยะพลาสติกได้ถึง 409,404 ขวด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ได้ถึง 53.54 ตัน 

 

 

RO Water Plant นับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนให้ทรูบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายในการลดการใช้พลาสติก ในขณะเดียวกัน ยังสามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี สุขภาพที่ดี ให้แก่บุคลากรในองค์กรอีกด้วย

 

 

ตู้รีฟัน เปลี่ยนการทิ้งขวดพลาสติกเป็นพลังสร้างสรรค์

 

 

ส่วนใครที่เข้ามาติดต่ออาคารทรู หรือพนักงานที่ใช้ขวดน้ำดื่มพลาสติก ยังสามารถร่วมนำขวดพลาสติกแบบ PET ชนิดใส เช่น ขวดน้ำดื่ม น้ำอัดลม น้ำชา น้ำหวานต่าง ๆ มาหยอดคืนที่ Refun Machine หรือเรียกกันว่า ตู้รีฟัน ที่ทรูได้ติดตั้งไว้ที่บริเวณชั้น G อาคารทรู ทาวเวอร์ 1 เพื่อให้เครื่องตรวจสอบคิดเป็นแต้มสะสม เปลี่ยนการทิ้งเป็นพลังสร้างสรรค์ ทำให้การรีไซเคิลง่ายขึ้น เปลี่ยนขยะเป็นแต้มสะสม ไปแลกของรางวัลต่าง ๆ หรือร่วมบริจาคสำหรับทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ซึ่งขวดเหล่านั้นจะถูกนำไปย่อยสลายอย่างถูกวิธีต่อไป 

 

 

 

 

บางครั้งเรื่องราวใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ ก็เกิดขึ้นจากสิ่งเล็ก ๆ ที่ส่งต่อกันให้เกิดเป็นพลังสร้างสรรค์ จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพียงแค่เริ่มต้นที่ตัวเรา คนละไม้คนละมือก็สามารถช่วยให้โลกใบนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้นได้ 

 

 

 

อ่านต่อ
Tech & Innovation for Thais ดูทั้งหมด
เกษตรไทยไปไกลได้อีก! ก้าวสู่เกษตร 5G พร้อมดิจิทัลโซลูชัน ทรู ฟาร์ม
True Blog 09 มี.ค. 2566

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีได้เข้ามาพลิกชีวิตผู้คนและธุรกิจทุกวงการ รวมไปถึงภาคเกษตรกรรม ที่แต่เดิมต้องอาศัยปัจจัยทางธรรมชาติ โดยเฉพาะเมื่อเข้ามาสู่ยุค 5G ความล้ำหน้าของเทคโนโลยีทำให้เกิดเทรนด์โลกที่เรียกว่า ‘Smart Farming’ หรือการเกษตรอัจฉริยะ

 

ในหลายประเทศ เทคโนโลยีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเกษตรกรไปแล้ว อย่างเกษตรกรชาวเกาหลีใต้ เรียกได้ว่าเป็น Tech-Savvy ตัวจริง ก็มีสตรอว์เบอร์รี่เกาหลีที่เป็นของฝากยอดฮิตซึ่งเป็นผลผลิตของ Smart Farming โดยใช้ AI วิเคราะห์และสร้างสภาพแวดล้อมฟาร์มที่ดี และใช้ Big Data วางแผนการเกษตร ไปจนถึงใช้โดรนรดน้ำใส่ปุ๋ย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ควบคุมได้ง่าย ๆ ผ่านสมาร์ทโฟน หรือในไต้หวันก็ไม่น้อยหน้า เตรียมนำอุปกรณ์ทุ่นแรงที่สวมใส่ได้มาใช้แก้ปัญหาเกษตรกรที่อายุมากขึ้น โดยอุปกรณ์นี้ช่วยให้ยกของได้หนักขึ้นถึง 9 กิโลกรัม!

 

วงการเกษตรกรรมไทยเองก็กำลังก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน หลากหลายบริษัทเทคและสตาร์ทอัพเริ่มหันมาจริงจังกับเทคโนโลยีการเกษตร รวมถึงกลุ่มทรู ที่ได้ริเริ่มดิจิทัลโซลูชัน นำเครือข่ายอัจฉริยะ True 5G ผสานกับเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ ทั้ง IoT, Robotics,  AI และ Analytics เข้ามาขับเคลื่อน Smart Farming ในไทยอย่างเต็มที่ ถ้าพร้อมแล้ว เรามาก้าวสู่ ‘ยุคเกษตร 5G’ ไปด้วยกัน

 

 

รู้จัก ทรู ฟาร์ม มิติใหม่ของเกษตรกรรมไทยในยุค 5G

 

ถึงเวลาเปิดโลกเกษตรกรรมไทย เพื่อส่องดูว่ามีพื้นที่ตรงไหนที่เทคโนโลยีเข้าไปช่วยเติมเต็มได้บ้าง ถ้าลองมองภาพใหญ่แล้ว จะเห็นว่าเป้าหมายของเกษตรกรส่วนใหญ่คือ ต้องการลดต้นทุน ทุ่นแรง พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเพิ่มผลผลิต ที่สำคัญคือ การรับมือได้ดีขึ้นกับอุปสรรคที่มาทำลายผลผลิต จุดนี้เอง คือพื้นที่ว่างที่เทคโนโลยี Smart Farming จะเข้ามาช่วยเสริมได้

 

ทรู ดิจิทัล มุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาให้เกษตรกรอย่างตรงจุด จึงได้คิดค้นโซลูชัน ‘ทรู ฟาร์ม’ (True Farm) เทคโนโลยีการเกษตรอัจฉริยะครบวงจรขึ้นมา  โดยพัฒนาภายใต้แนวคิดแนวคิด ‘การเกษตรแม่นยำ’ (Precision Farming) ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับเกษตรกรรมไทย แนวคิดการเกษตรแม่นยำนี้จะใช้วิธีเก็บข้อมูลแล้วนำมาวิเคราะห์เชิงลึก ทำให้สามารถหาวิธีแก้ปัญหาได้ตรงจุด พร้อมวางแผนการเกษตรล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำเหลือเชื่อ

 

เบื้องหลังความสำเร็จของ ทรู ฟาร์ม ก็คือเครือข่ายอัจฉริยะ True 5G ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เร็วแรง และมีความเสถียรสูง สามารถรับและส่งข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ที่สำคัญคือ มีการออกแบบให้ ทรู ฟาร์ม ใช้งานง่าย ถึงแม้ไม่มีพื้นฐานด้านเทคโนโลยีก็ใช้งานได้ จึงตอบโจทย์เกษตรกรทุกคนในการเกษตรทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น เกษตรพืช หรือ ปศุสัตว์

 

เบื้องหลังความสำเร็จของ ทรู ฟาร์ม ก็คือเครือข่ายอัจฉริยะ True 5G ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เร็วแรง และมีความเสถียรสูง สามารถรับและส่งข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ที่สำคัญคือ มีการออกแบบให้ ทรู ฟาร์ม ใช้งานง่าย ถึงแม้ไม่มีพื้นฐานด้านเทคโนโลยีก็ใช้งานได้ จึงตอบโจทย์เกษตรกรทุกคนในการเกษตรทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น เกษตรพืช หรือ ปศุสัตว์

 

โซลูชันเพื่อลดต้นทุน แต่เพิ่มพูนผลผลิต

 

ในช่วงที่ต้นทุนต่าง ๆ ทยอยขึ้นราคา ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย น้ำ หรือยาที่ใช้กับพืช หัวใจสำคัญคือ การบริหารจัดการทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด ถ้าหากใช้ทุกอย่างได้คุ้มค่า ก็จะลดความสิ้นเปลือง และตัดต้นทุนที่ไม่จำเป็นได้มากกว่าที่คิด

 

ทรู ฟาร์ม โดรน (True Farm Drone) และ ทรู ฟาร์ม โกรว์ (True Farm Grow) คือผู้ช่วยที่เข้ามาช่วยเกษตรกรไทยในด้านการบริหารจัดการทรัพยากร เริ่มที่ทรู ฟาร์ม โดรน ซึ่งเป็นโดรนบินอัจฉริยะ ทำหน้าที่ให้ปุ๋ยและยาสำหรับพืช ส่วนทรู ฟาร์ม โกรว์ คืออุปกรณ์ IoT ที่คอยให้น้ำและดูแลการเพาะปลูก โดยทั้ง 2 เทคโนโลยีนี้มี AI ที่คำนวณปริมาณปุ๋ย น้ำ และยาที่เหมาะสมต่อความต้องการของพืชได้อย่างแม่นยำ มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการใช้ต้นทุนอย่างเสียเปล่า ช่วยให้เกษตรกรควบคุมต้นทุนได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดการใช้แรงงานได้อีกด้วย

 

เมื่อเกษตรกรลดต้นทุนได้ ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย โดยสินค้าการเกษตรก็จะมีราคาที่เอื้อมถึงได้ และยังมีคุณภาพได้มาตรฐานคงที่ หรืออาจจะคุณภาพสูงยิ่งขึ้นกว่าเดิม

 

สภาพแวดล้อมที่ดี มีเทคโนโลยีอยู่เบื้องหลัง

 

เราต่างรู้ดีว่าภาวะโลกร้อนสร้างผลกระทบให้กับผู้คนทั่วโลก รวมถึงเหล่าเกษตรกรด้วย ถึงแม้ธรรมชาติจะเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่เทคโนโลยีคือตัวช่วยที่ทำให้เรารับมือได้ดีขึ้น ทรู ฟาร์ม ได้สร้างโซลูชันสำหรับช่วยเกษตรกรรับมือกับสภาพอากาศ โดยการติดตั้งเซนเซอร์ไว้ใต้ดินเพื่อวัดความชื้น พร้อมนำอุปกรณ์ IoT มาปรับใช้เป็นระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ เมื่อความชื้นของดินต่ำลง ระบบจะสั่งให้รดน้ำเพิ่มตามความต้องการของพืช หรือถ้าหากมีความชื้นสูงผิดปกติ เสี่ยงที่จะมีน้ำท่วม ก็จะแจ้งเตือนไปยังเกษตรกรทันที ในสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนนี้ เกษตรกรก็ไม่ต้องนั่งเดาใจฟ้าฝนอีกต่อไป

 

ไม่ใช่แค่การปลูกพืชที่ต้องพึ่งพาลมฟ้าอากาศ อันที่จริงแล้วการเลี้ยงสัตว์ก็เช่นกัน เพราะอากาศที่แปรปรวนทำให้สัตว์ปรับตัวได้ยาก อย่างเช่น ฟาร์มไก่ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจการเกษตรที่ต้องใส่ใจในสภาพอากาศอย่างมาก True Farm Chicken จึงถูกสร้างขึ้นสำหรับฟาร์มไก่โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นระบบฟาร์มอัตโนมัติ (Farm Automation) ที่นำอุปกรณ์ IoT มาใช้ โดยมีเซนเซอร์คอยมอนิเตอร์สภาพแวดล้อมทั้งอุณหภูมิ ความชื้น แสง และความเร็วลม พร้อมรายงานข้อมูลแบบเรียลไทม์ ถ้ามีความผิดปกติก็จะแจ้งเตือนได้ทันที โดยสามารถสั่งงานได้ผ่านสมาร์ทโฟน ทำให้เกษตรกรมั่นใจว่าไก่จะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด โดยที่ตัวเกษตรกรเองไม่ต้องอยู่ที่ฟาร์มตลอดเวลาก็ได้

 

 

อีกหนึ่งประเภทของฟาร์มที่ต้องควบคุมสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวังและใกล้ชิด ก็คือ กุ้ง ซึ่ง ทรู ฟาร์ม ก็เข้าใจในจุดนี้ดี จึงสร้างสรรค์ True Farm Shrimp ขึ้นมาสำหรับฟาร์มกุ้งโดยเฉพาะเช่นกัน ระบบโดยรวมก็จะทำงานคล้าย ๆ กับฟาร์มไก่ นั่นก็คือจะใช้เซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพนํ้าและรายงานข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ผู้ดูแลฟาร์มควบคุมอากาศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ อีกทั้งยังมีโซลูชันเพิ่มประสิทธิภาพในการให้อาหารกุ้ง โดยใช้กล้องและเทคโนโลยี AI วิเคราะห์พฤติกรรมของกุ้ง เพื่อปรับปริมาณอาหารให้เหมาะสมด้วย

 

เทคโนโลยีฮีโร่ป้องกันโรค เพื่อฟาร์มสะอาด ปลอดโรค ปลอดภัย

 

ศัตรูตัวฉกาจของเหล่าเกษตรกรมาในรูปแบบของ ‘โรค’ โดยเฉพาะฟาร์มสัตว์ที่ต้องเผชิญโรคร้ายอย่างไม่คาดคิดอยู่บ่อย ๆ เราจึงต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ป้องกันโรคอีกขั้น กรณีตัวอย่างคือ ในฟาร์มหมู ที่มีการนำโซลูชัน True Farm Pig  มาใช้โดยติดตั้งอุปกรณ์ IoT ทั่วฟาร์ม คอยตรวจสอบและรายงานสภาพแวดล้อมของโรงเรือนเลี้ยงหมู โดยที่เกษตรกรไม่ต้องเข้าไปในพื้นที่ พร้อมกันนี้ ยังใช้กล้องตรวจจับและวิเคราะห์พฤติกรรมของหมู ซึ่งจะช่วยให้ตรวจพบหมูที่เริ่มมีอาการเจ็บป่วยได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สัตวแพทย์เข้าดูแลและทำการรักษาได้ทันท่วงที ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคระบาดในสัตว์ที่จะกระทบต่อปริมาณผลผลิต และยังป้องกันการแพร่ระบาดของโรคจากสัตว์สู่คน รวมถึงมีระบบตรวจสอบความสะอาดของคนหรือสัตว์ใหม่ที่จะเข้าไปในฟาร์ม เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีพาหะนำโรคเข้ามาปะปน

 

 

ในส่วนของวัว โรคที่ต้องระวังคือโรคลัมปี สกิน ที่เคยสร้างความเสียหายให้ฟาร์มมานับไม่ถ้วน แต่ในวันนี้ เกษตรกรเบาใจได้มากขึ้น เพราะสามารถดูแลสุขภาพของวัวและกระบือได้อย่างใกล้ชิด กับเทคโนโลยี True Farm Cow ที่มาพร้อมแท็กติดหูและสายคล้องคอตรวจวัดพฤติกรรมการเคลื่อนไหว การกิน และการเคี้ยวเอื้อง เพื่อประเมินสุขภาพของสัตว์ได้ พร้อมส่งข้อมูลไปยังเกษตรกรได้ทันทีคล้ายกับสมาร์ทวอทช์ของคน ซึ่งช่วยในการดูแลวัวแต่ละตัวได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ สำหรับเกษตรกรโคนม True Farm Cow ยังช่วยให้ผู้เลี้ยงวัวนมไม่พลาดช่วงของการทำการผสมเทียมวัวนม จึงช่วยเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้น ขณะเดียวกันระบบก็ยังทำหน้าที่ดูแลสภาพแวดล้อมและความสะอาดภายในฟาร์มไปด้วย นับเป็นการป้องกันโรคในทุก ๆ ทาง

 

การนำ ทรู ฟาร์ม เข้ามาใช้ ยังช่วยการันตีความสบายใจของผู้บริโภคไปด้วย เพราะเมื่อมีเทคโนโลยีนี้เข้ามาช่วย ก็เป็นการตอกย้ำคุณภาพและมาตรฐานเรื่องของสะอาดปลอดภัยของเนื้อสัตว์ที่มาจากฟาร์มได้นั่นเอง

 

เกษตรกรรมยุค 5G ที่จะกำหนดอนาคตประเทศไทย

 

ถึงตรงนี้ เชื่อว่าเราคงได้เห็นกันแล้วว่าเทคโนโลยีจะสามารถเข้ามาช่วยเกษตรกรได้มากขนาดไหน เกษตรกรไทยจำนวนมากก็อยู่ในช่วงที่กำลังเรียนรู้และปรับใช้เทคโนโลยีอย่างเต็มที่ และหลายภาคส่วน ทั้งรัฐและเอกชน ก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมผลักดันด้วยความหวังที่จะเห็น Smart Farming ประสบความสำเร็จในประเทศไทย

 

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าชีวิตคนไทยยังคงต้องพึ่งพาเกษตรกรรม ทั้งการจ้างงานในภาคเกษตรซึ่งเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของแรงงาน อีกทั้งการเกษตรยังนับเป็น ‘ครัว’ ของคนทั้งประเทศ การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมการเกษตรไทยจึงไม่ได้ส่งผลดีเพียงแค่กับกลุ่มเกษตรกร แต่ยังสร้างประโยชน์ให้กับคนทั้งประเทศไทยเลยก็ว่าได้ นี่คืออีกหนึ่งความมุ่งมั่นของกลุ่มทรูที่จะนำเทคโนโลยีส่งเสริมเกษตรกรไทยทุกคน เราเชื่อว่า เกษตรกรไทยจะสามารถใช้เทคโนโลยียกระดับคุณภาพชีวิต พัฒนาการผลิต และช่วยกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการเกษตรไทยก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับยุค 5G ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

อ้างอิง:

 

 

 

 

 

 

 

อ่านต่อ
กลุ่มทรู แสดงวิสัยทัศน์ โอกาสและความท้าทาย เมื่อ AI หลอมรวมกับศักยภาพมนุษย์
True Blog 13 ก.พ. 2566

ปิดฉากลงไปแล้วสำหรับงานสัมมนาระดับภูมิภาค "MIT Media Lab Southeast Asia Forum" จัดโดย MIT Media Lab หน่วยงานวิจัยของโลกด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม การออกแบบ และศิลปะของสถาบันเทคโนโลยี แมสซาชูเซตส์ (MIT) ประเทศสหรัฐอเมริกา โดย กลุ่มทรู ร่วมสนับสนุนและเปิด ทรู ดิจิทัล พาร์ค เป็นสถานที่จัดงาน พร้อมนำระบบนิเวศดิจิทัลครบวงจรที่มีส่วนสำคัญในการยกระดับวงการเทคและสตาร์ทอัพ ร่วมแสดงศักยภาพความสามารถของคนไทยต่อสายตาผู้ร่วมงานจากทั่วโลก

 

โดยมี นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ ประธานกรรมการ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ได้ร่วมบรรยายพิเศษหัวข้อ "Human+AI : Opportunities and Challenges" แบ่งปันองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ที่จะพลิกโฉมโลกธุรกิจและการใช้ชีวิตของผู้คน ตอกย้ำความมุ่งมั่นและความเป็นผู้นำของกลุ่มทรู ซึ่งเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างคนและเทคโนโลยี ก่อให้เกิดนวัตกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาบุคคล องค์กร และเศรษฐกิจไทย ความสามารถทางการแข่งขัน และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมตั้งเป้าขยายความร่วมมือทั้งในด้านธุรกิจ การพัฒนาโซลูชัน และสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร เพื่อสรรค์สร้างนวัตกรรมระดับแนวหน้าให้แก่ผู้ประกอบการเทคและสตาร์ทอัพประเทศไทยอย่างเต็มที่

 

 

เทคโนโลยี AI เปลี่ยนชีวิต พลิกโฉมธุรกิจไทย

 

นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ ประธานกรรมการ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กล่าวย้ำความเป็นผู้นำของ กลุ่มทรู ที่ก้าวสู่การเป็นบริษัทเทคว่า มีโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและบริการดิจิทัลครบวงจร พร้อมยกตัวอย่างนวัตกรรมที่ทรูได้พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยี AI ผสานความรู้ของผู้ชำนาญการในหลากหลายสาขา เพื่อช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ ภาคสาธารณสุข เกษตรกรรม และค้าปลีก

 

สาธารณสุข : ผนึกพันธมิตร ขยายบริการทางการแพทย์ให้รวดเร็วและทั่วถึง

 

แม้ว่าประเทศไทยจะมีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความชำนาญการจำนวนมาก แต่ยังไม่เพียงพอในการดูแลรักษาผู้ป่วย อีกทั้งแพทย์ส่วนมากอยู่ในโรงพยาบาลใหญ่และอยู่ในเมือง ทำให้การกระจายการรักษาพยาบาลยังไม่เพียงพอ ทรู จึงมุ่งมั่นในการกระจายบริการรักษาพยาบาลออกไปจากศูนย์กลาง มีโอกาสทำงานร่วมกับสถาบันการแพทย์หลายแห่งทั้ง รพ.จุฬาลงกรณ์ รพ.รามาธิบดี รพ.ศิริราช ที่มีอาจารย์แพทย์จำนวนมาก

 

 

ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการพบแพทย์ออนไลน์ราว 400,000 ราย และมีความเชื่อในการผสานโลกกายภาพและดิจิทัลเข้าด้วยกัน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ MIT Media Lab ที่ว่า การผสมผสานของดิจิทัลและคนย่อมดีกว่าการพึ่งพาเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว โดยทรูได้เปิด "มุมสุขภาพ" หรือ "True HEALTH Corner" ในพื้นที่หลายแห่ง มีอุปกรณ์ตรวจวัดค่าต่างๆ ของร่างกายเบื้องต้นและ ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ ได้ทันที ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้เป็นอย่างดี

 

 

นอกจากนี้ ทรู ยังทำงานร่วมกับ โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดศูนย์สุขภาพรามาธิบดี ขยายพื้นที่ให้บริการที่ใหญ่และเพิ่มบริการหลากหลายมากขึ้น อาทิ บริการเจาะเลือด และเก็บสิ่งส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆ เอกซเรย์ปอด และ EKG เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการแพทย์ รวมถึงระบบการแพทย์ฉุกเฉินอัจฉริยะหรือ Smart EMS (Smart Emergency Medical Service) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการจากความร่วมมือกับ โรงพยาบาลศิริราช ที่สะท้อนให้เห็นนวัตกรรมโซลูชันที่ชูศักยภาพของมนุษย์ โดยมีความชำนาญการของแพทย์ พยาบาล เป็นตัวนำ และเทคโนโลยีเป็นตัวช่วย

 

สิ่งนี้เป็นความมุ่งมั่นตั้งใจของทรูที่จะผลักดันให้เกิดขึ้นและจะเป็นจริงได้ด้วยการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในระบบนิเวศ และเชื่อว่าในอนาคตหากมีมุมมองแบบองค์รวมของการดูแลสุขภาพที่เชื่อมโยงถึงกันจะสามารถสร้างสรรค์และให้บริการโซลูชันที่ดียิ่งขึ้นเท่าทวีคูณเพื่อประชาชน

 

กษตรกรรม : เกษตรอัจฉริยะกับความท้าทายในการเพิ่มผลผลิต

 

แม้ภาคการเกษตรจะเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ในประเทศไทย แต่กลับยังมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของ เกษตรกร และนำมาซึ่งปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ทรูจึงพัฒนานวัตกรรมหลากหลายเพื่อร่วมแก้ไขปัญหาเหล่านี้ สำหรับกลุ่มเกษตรพืช โดยใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและโดรนสอดส่องปัญหาและคาดเดาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า ด้านปศุสัตว์ใช้เทคโนโลยี IoT และ Analytics ในการตรวจจับและวิเคราะห์พฤติกรรมสัตว์ เช่น ในฟาร์มโคนม จะใช้เครื่องตรวจวัดสุขภาพที่สามารถแจ้งเตือนปัญหาเพื่อปรับเปลี่ยนการเลี้ยงโคให้เหมาะสม ส่วนในฟาร์มสุกรและกุ้ง จะนำระบบวิเคราะห์ด้วยวิดีโอที่ตรวจจับการเคลื่อนไหวของสุกรและกุ้ง เพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพและปริมาณของผลผลิต ทั้งนี้ การวางระบบที่แม่นยำ การคาดการณ์ปริมาณผลผลิต จักรกลช่วยเก็บเกี่ยว และการตรวจสอบควบคุมการทำงานของเครื่องจักรต่างๆ ล้วนเป็นความท้าทายที่ทรูและเหล่าสตาร์ทอัพทำงานร่วมกับเกษตรกรอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในภาคอุตสาหกรรมนี้

 

ค้าปลีก : พลิกโฉมธุรกิจค้าปลีกด้วยเทคโนโลยี AI

 

 

เนื่องจาก ธุรกิจค้าปลีก ยังสามารถต่อยอดพัฒนาได้อีกมากมาย ทั้งเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพและการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทรูจึงพัฒนาโซลูชันต่างๆ ที่ช่วยลดช่องว่างดังกล่าว เช่น Heatmap ทำให้ทราบพฤติกรรมของลูกค้าในการเดินซื้อสินค้า เพื่อนำมาปรับปรุงการให้บริการ และระบบตรวจสอบชั้นวางสินค้าที่ว่าง พร้อมแจ้งเติมสินค้าและเชื่อมโยงกับคลังสินค้าเพื่อการวางแผน รวมถึงระบบเซ็นเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยี AI ช่วยวิเคราะห์และตรวจสอบระบบตู้แช่เย็น เพื่อการดูแลรักษาคุณภาพ ซึ่งล้วนอาศัยการทำงานร่วมกันของมนุษย์และ AI ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ความต้องการซื้อสินค้า การจัดการสินค้า การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า การนำเสนอโฆษณาแบบเฉพาะเจาะจง โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้ง องค์กร สตาร์ทอัพ หน่วยงานภาครัฐ นักวิจัย และนักประดิษฐ์ ที่จะผสานเชื่อมโยงเครือข่ายเป็นระบบนิเวศเพื่อเผชิญความท้าทายเหล่านี้ไปด้วยกัน

 

ทัศนคติเชิงบวกและความเชื่อมั่นคือพลังสร้างสรรค์นวัตกรรม

 

 

นายณัฐวุฒิ กล่าวสรุปพร้อมสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้ร่วมงานว่า แม้ AI จะช่วยยกระดับการทำงานให้กับมนุษย์ได้ แต่ความเห็นอกเห็นใจยังเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถทำได้ การทำงานร่วมกันของมนุษย์และ AI จึงเป็นแนวทางที่ ทรู เชื่อและทำเสมอมา ซึ่งการสร้างนวัตกรรมนั้นมักจะต้องพบกับความสงสัยในความเป็นไปได้อยู่เสมอ แต่นั่นคือโอกาสที่จะเป็นคนแรกที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมนั้น ทัศนคติเชิงบวก และความเชื่อมั่นจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนเปิดใจ และเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้นวัตกรรมต่างๆ นั้นเกิดขึ้นได้จริง

 

อ่านต่อ
มารู้จักนวัตกรไทย ‘True Robotics’ ทีมพัฒนาหุ่นยนต์ เพื่อคนไทย เมื่อหุ่นยนต์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป!
True Blog 23 ธ.ค. 2565

ถ้าพูดถึง ‘หุ่นยนต์’ ทุกคนจะนึกถึงอะไรกันบ้าง?

 

หลายคนอาจเห็นภาพหุ่นยนต์แมวพี่เลี้ยงสายซัพพอร์ตอย่างโดราเอมอน หุ่นยนต์แปลงร่างใน Transformers หุ่นยนต์ที่ถอดแบบโครงสร้างมนุษย์จากภาพยนตร์หรือซีรีส์ Sci-Fi ชื่อดังอย่าง Bicentennial Man, I, Robot, Westworld ฯลฯ ภาพจำเหล่านี้อาจทำให้รู้สึกว่าหุ่นยนต์เป็นเรื่องของโลกอนาคตแสนห่างไกล แต่แท้จริงแล้ว หุ่นยนต์ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทใกล้ชิดกับชีวิตผู้คนมานานหลายทศวรรษ แม้หลายเคสจะยังอยู่ในระยะของการพัฒนาแต่ก็มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

ในปัจจุบัน แม้แต่บริษัทระดับโลกต่าง ๆ เริ่มนิยมนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้เพื่อช่วยพนักงานทำงานมากขึ้น อย่าง Amazon บริษัท E-Commerce ยักษ์ใหญ่ ก็เริ่มใช้หุ่นยนต์ช่วยจัดการสต็อกและออร์เดอร์ รวมถึงส่งของดิลิเวอรีในบางพื้นที่ พร้อมเผยว่าหุ่นยนต์ช่วยให้บริษัททำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นถึง 20% รวมทั้งในวงการอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นวงการยานยนต์ที่ให้ความสนใจพัฒนา Wearable Robotics (อุปกรณ์หุ่นยนต์ประเภทสวมใส่ได้) ที่เน้นช่วยผู้ป่วยอัมพาตจากอุบัติเหตุ หุ่นยนต์กู้ภัยที่สามารถวิ่ง บิน คลานหรือแม้แต่ดำน้ำเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติ ไปจนถึงวงการแฟชั่นที่ยอมเปิดทางให้นางแบบหุ่นยนต์ได้ออกมาเฉิดฉายบนรันเวย์ หรือแม้กระทั่งรับบทเป็นดีไซเนอร์ออกแบบเสื้อผ้าเสียเอง น่าทึ่งไหมล่ะ!

 

ส่องเทคโนโลยีหุ่นยนต์ไทยไปกับ ‘True Robotics’

 

เมื่อหุ่นยนต์กลายเป็นเมกะเทรนด์สุดอิมแพค ไม่ใช่เพียงทั่วโลกที่ให้ความสนใจ แต่ในประเทศไทยก็เช่นกัน หุ่นยนต์ถูกนำมาใช้ในภาคการผลิตจำนวนมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ หรือในส่วนงานบริการก็มีหุ่นยนต์ที่เราได้เห็นกันบ่อย ๆ เช่น หุ่นยนต์เสิร์ฟอาหารหรือหุ่นยนต์ทำความสะอาดบ้านหรือผนังกระจกสูง ยิ่งเมื่อมีเครือข่าย 5G ผสานกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) แล้ว วงการหุ่นยนต์ไทยก็ดูจะยิ่งพัฒนาได้ไกลกว่าเดิมและมีโอกาสฉายแสงได้ไม่แพ้ใคร  

 

 

กลุ่มทรูเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า หุ่นยนต์คือหนึ่งในนวัตกรรมเทคโนโลยีที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยในยุคดิจิทัล ทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค จึงได้จัดตั้ง ‘True Robotics’ หน่วยงานวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์ทั้ง Hardware และ Software โดยมุ่งศึกษาข้อมูลหุ่นยนต์จากทั่วโลก พร้อมทำการวิจัย ทดลองและพัฒนา จนสามารถสร้างสรรค์หุ่นยนต์สัญชาติไทยได้สำเร็จ อีกทั้งยังได้รับรางวัลนวัตกรรมจากหลากหลายเวทีประกวดระดับนานาชาติ

 

ห้องแล็บวิจัยของ True Robotics ได้ศึกษา วิจัย และพัฒนาหุ่นยนต์ทั้งหมด 4 ประเภท โดยแต่ละประเภทก็จะมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของคนหรือภาคธุรกิจที่แตกต่างกันไป

 

  • ชีวิตง่ายขึ้นด้วยหุ่นยนต์ที่เปรียบเสมือน ‘เพื่อนในบ้าน

หากจะพูดถึงหุ่นยนต์ที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุด คงไม่พ้น หุ่นยนต์ในบ้าน (Home Robot) หรือที่หลายคนคุ้นเคยในชื่อ ‘Smart Home’ ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายภายในบ้านให้กับเราตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงเวลาเข้านอน หุ่นยนต์ประเภทนี้มีฟังก์ชันที่หลากหลาย และยังเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ ภายในบ้านได้ ให้ผู้ใช้งานควบคุมได้ดั่งใจ

 

‘HOMEY’ คือหุ่นยนต์ในบ้านสัญชาติไทยที่พัฒนาโดยทีม True Robotics ด้วยหน้าตาที่ดูน่ารักเป็นมิตรบวกกับความสามารถในการอำนวยความสะดวกรอบด้าน HOMEY จึงเปรียบเสมือนเป็น ‘เพื่อนในบ้าน’ ของผู้ใช้งาน นอกจากจะรองรับการสั่งงานด้วยเสียง และจดจำใบหน้าของคนในบ้านได้แล้ว ยังสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หน้าตา การเคลื่อนไหว และการแสดงความรู้สึกไปตามการตั้งค่าของผู้ใช้งานได้อีกด้วย 

 

 

HOMEY มาพร้อมฟังก์ชันที่ครอบคลุม จึงทำงานร่วมกับเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะได้เป็นอย่างดี ทั้งเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT Smart Home เพื่อควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้าน และรองรับแอปพลิเคชันการใช้งานพื้นฐานต่าง ๆ ได้ครบ เช่น วิดีโอสตรีมมิง วิดีโอคอล ระบบแจ้งเตือน นอกจากนี้ก็ยังติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติมได้ตามใจผู้ใช้งาน ที่สำคัญ สามารถช่วยดูแลสุขภาพผู้ใช้งานได้ด้วยการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์การทางการแพทย์ เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดความดัน เครื่องวัดออกซิเจนในเลือด พร้อมแสดงผลบนหน้าจอ เพื่อเป็นข้อมูลปรึกษาแพทย์ทางไกลผ่านวิดีโอคอล รวมถึงช่วยแจ้งเตือนการกินยาหรือตรวจเช็กร่างกายได้อีกด้วย

 

เทคโนโลยีอันชาญฉลาดเหล่านี้ ทำให้หุ่นยนต์  HOMEY ได้รับรางวัลระดับโลกในปี 2565 นั่นคือ รางวัลเหรียญทองสิ่งประดิษฐ์ และรางวัลพิเศษสำหรับผลงานนวัตกรรมสุดประทับใจ จากเวทีการแข่งขันชั้นนำระดับโลกอย่าง World Invention Innovation Contest 2022 ที่จัดโดย The Korea Invention Newspaper (KINEWS) และได้รับการสนับสนุนจาก Korea Invention Academy (KIA) สมาคมส่งเสริมนักคิดค้นสิ่งประดิษฐ์อาเซียน และสหพันธ์สมาคมนักประดิษฐ์นานาชาติ ณ ประเทศเกาหลีใต้ สะท้อนถึงความสำเร็จและความทุ่มเทของกลุ่มทรูและทีม True Robotics ได้อย่างชัดเจน

 

  • หุ่นยนต์เพื่อคนทำธุรกิจ ช่วยเซอร์วิสอย่างครบวงจร

สำหรับเจ้าของธุรกิจ SMEs แล้ว การบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพคือหัวใจสำคัญ หุ่นยนต์บริการ (Service Robot) จึงเป็นโซลูชันที่ลงตัว เพราะช่วยลดต้นทุนด้านบุคลากรได้ โดยที่มาตรฐานงานบริการไม่ลดตามไปด้วย หุ่นยนต์บริการนี้ตอบโจทย์การใช้งานทั้งในห้างสรรพสินค้า งานแสดงสินค้า ร้านค้า และร้านอาหาร โดยสามารถอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การช่วยค้นหาและนำทางไปยังชั้นวางสินค้าที่ต้องการซื้อ ไปจนถึงการเสนอโปรโมชันที่น่าสนใจผ่านหน้าจอให้ลูกค้า นอกจากนี้ ยังช่วยดูแลและตรวจสอบสต็อกสินค้าได้ หากสินค้าหมดจะแจ้งเตือนไปยังระบบทันที เพื่อให้พนักงานเติมสินค้ารองรับลูกค้าได้ทัน ช่วยให้ไม่เสียโอกาสในการขาย แถมเพิ่มประสบการณ์ให้การซื้อขายน่าประทับใจยิ่งขึ้น

 

 

ด้วยจุดเด่นของ Service Robot ที่ช่วยยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตสู่ยุคนิว นอร์มัล ให้ผู้คนลดการสัมผัสกันโดยตรง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19  ทีม True Robotics จึงสามารถคว้ารางวัลเหรียญเงิน จากเวทีประกวดผลงานนวัตกรรมระดับนานาชาติ “XXIII Moscow International Inventions and Innovative Technologies Salon” หรือ ARCHIMEDES-2020 จากสหพันธรัฐรัสเซีย  นับเป็นอีกหนึ่งผลงานของคนไทยที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง 

 

อีกหนึ่งรูปแบบของหุ่นยนต์บริการที่น่าสนใจ คือหุ่นยนต์ที่ใช้ระบบ AI สื่อสารตอบโต้กับผู้ใช้งานได้อย่างชาญฉลาด พร้อมให้ข้อมูลผู้ใช้งานได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างเช่น True 5G ROBO-GREET หุ่นยนต์ Humannoid อัจฉริยะ ที่มาพร้อมความฉลาดของ AI ที่นอกจากช่วยให้ข้อมูลแล้ว ยังฉลาดตรงสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ของผู้ใช้งานผ่านทางสีหน้าท่าทางได้อีกด้วย

 

 

  • เทรนด์การศึกษายุค 5G มีหุ่นยนต์เป็นตัวขับเคลื่อน

ใครว่าการศึกษาต้องอยู่บนตำราเท่านั้น การศึกษายุคใหม่มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันเพื่อการศึกษา หรือการใช้เทคโนโลยี VR / AR เป็นสื่อการสอน และแน่นอนว่า หุ่นยนต์เพื่อการศึกษา (Education Robot) ก็เป็นหนึ่งในเทรนด์ EdTech ที่กำลังมาแรง หุ่นยนต์นี้อาจไม่ได้ทำหน้าที่แทนครูทั้งหมด แต่จะเป็นผู้ช่วยนำเสนอสื่อการสอนให้สนุกและน่าสนใจ เพิ่มทักษะด้านต่าง ๆ ให้กับผู้เรียนด้วยข้อมูลที่แม่นยำและการตอบสนองแบบเรียลไทม์ มั่นใจได้ว่าผู้เรียนจะได้รับความรู้ที่ถูกต้อง เช่น หุ่นยนต์ไอน์สไตน์สัญชาติฮ่องกง ที่เชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ต ด้วย AI ที่เชี่ยวชาญในวิชาวิทยาศาสตร์และฟิสิกส์ หุ่นยนต์ไอน์สไตน์จึงสามารถสอน ตอบคำถาม และช่วยนักเรียนทบทวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อุ่นใจเหมือนมีนักฟิสิกส์คนดังมาติวให้แบบใกล้ชิด

 

 

  • หุ่นยนต์รูปแบบใหม่ยังเกิดขึ้นได้เสมอด้วย AI และ 5G

นอกจากหุ่นยนต์ประเภทต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว เทคโนโลยี AI และเครือข่าย 5G ยังรังสรรค์ให้เกิดหุ่นยนต์ประเภทอื่น ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการอีกหลากหลายด้านที่เราอาจคาดไม่ถึง เช่น ‘Pongbot’ หุ่นยนต์สายสปอร์ต สำหรับช่วยนักกีฬาปิงปองฝึกซ้อม ทำหน้าที่เหมือนโค้ชมืออาชีพ จับการเคลื่อนไหวทำให้ฝึกการตีปิงปองได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่ True 5G และสมาคมกีฬาเทเบิลเทนนิสแห่งประเทศไทยได้นำมาช่วยพัฒนาทักษะของนักกีฬาไทย นอกจากนี้ยังมี ‘Loomo’ หุ่นยนต์พาหนะ ที่มาในรูปแบบของรถยืนไฟฟ้า (Segway) มีระบบบันทึกและประมวลผล พร้อมกล้องที่สามารถเดินตามผู้ใช้งานได้เมื่อเข้าสู่พื้นที่ที่ไม่สามารถใช้งานได้

 

 

‘True Robotics Platform’ บริหารจัดการหุ่นยนต์ทั่วโลกได้ในแพลตฟอร์มเดียว

 

ปัญหาใหญ่ที่ผู้ใช้หุ่นยนต์มักจะต้องเผชิญ คือการที่หุ่นยนต์แต่ละตัวมาจากผู้ผลิตต่างค่ายกัน จึงต้องใช้แพลตฟอร์มบริหารจัดการต่างกัน ทำให้ผู้ใช้งานต้องเรียนรู้แพลตฟอร์มแยกสำหรับหุ่นยนต์แต่ละตัว เพื่อแก้ปัญหานี้ ทีม True Robotics จึงได้ทุ่มเทพัฒนา ‘True Robotics Platform’ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ใช้หุ่นยนต์บริหารจัดการหุ่นยนต์ประเภทต่าง ๆ จากผู้ผลิตทั่วโลกได้ในแพลตฟอร์มเดียว เพื่อผู้ใช้หุ่นยนต์สะดวกสบายและประหยัดเวลาได้มากขึ้น

 

True Robotics Platform ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางแอปพลิเคชันของหุ่นยนต์ (App Store) ที่ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดและติดตั้ง เพื่อเพิ่มฟังก์ชันให้กับหุ่นยนต์ได้มากยิ่งขึ้น เช่น

  • ฟังก์ชันการถ่ายรูป เปลี่ยนให้หุ่นยนต์เป็นเหมือนมีตู้ถ่ายรูปเคลื่อนที่ได้
  • ฟังก์ชันที่ให้หุ่นยนต์สามารถทำหน้าที่เป็นไกด์นำทางตามสถานที่ต่าง ๆ
  • ฟังก์ชันช่วยลงทะเบียนผ่านการ Scan ใบหน้า
  • ฟังก์ชันในการจัดการคิวของผู้เข้าร่วมงาน เป็นต้น

ในอนาคต แพลตฟอร์มนี้ยังมีแผนพัฒนาที่จะเพิ่มเติมฟังก์ชันอื่น ๆ ต่อไปอีก เพื่อเสริมศักยภาพการทำงานของหุ่นยนต์ให้สามารถอำนวยความสะดวกและตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของเราได้มากขึ้น

 

 

การพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ในไทยจะก้าวไปได้ไกลแค่ไหน?

 

ในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นตลาดหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่ใหญ่เป็นอันดับ 13 ของโลก และมีแนวโน้มจะไต่อันดับสูงขึ้นอีกในอนาคต โชว์ให้เห็นศักยภาพของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ไทย ซึ่งก็สอดคล้องกับเป้าหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ได้ประกาศแผนพัฒนาระยะยาวในปี 2569 ตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการผลิต การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในอาเซียน โดยมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง

 

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นอีกหนึ่งตัวเร่งให้หุ่นยนต์มีบทบาทสำคัญมากยิ่งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา True Robotics ได้นำความเชี่ยวชาญของทีมงานและเทคโนโลยีหุ่นยนต์ล้ำสมัย ตลอดจนเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ อาทิ เทคโนโลยี Face Recognition และ Thermo Scan ช่วยในการระบุตัวตนและตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย เพื่อคัดกรองผู้ป่วยในพื้นที่ต่างๆ รวมถึง การใช้หุ่นยนต์เพื่อส่งน้ำ อาหาร ยา ให้แก่ผู้ป่วย และสื่อสารวิดีโอคอลระหว่างผู้ป่วยกับบุคลากรการแพทย์ ช่วยแบ่งเบาภารกิจ และช่วยลดการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อของบุคลากรการแพทย์ เพื่อให้คนไทยก้าวผ่านวิกฤตไปด้วยกัน

 

วันนี้ ทรู ได้ก้าวสู่การเป็น Tech Company ที่พร้อมจะสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัล เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทย กลุ่มทรูจึงได้มุ่งมั่นทุ่มเทในการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ไทยมาโดยตลอด ไม่ใช่เพียงเพื่อให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้ทั้งภาคธุรกิจไทยก้าวทันเทคโนโลยีล้ำสมัย และสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สร้างความแตกต่างและความได้เปรียบในการแข่งขันในเวทีโลกด้วย 

อ่านต่อ
How to รู้ทัน ป้องกันให้ปลอดภัยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์
True Blog 03 พ.ย. 2565

หนึ่งในกลุ่มมิจฉาชีพที่ยังคงคุกคามและสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ที่หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ ก็คือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นขบวนการหลอกลวงเหยื่อทางโทรศัพท์ โดยมักจะสร้างสถานการณ์ปลอมขึ้นมาหลอกลวงให้เหยื่อเกิดความตื่นตระหนก เข้าใจผิดว่าได้รับผลกระทบ หรือหลอกล่อด้วยผลประโยชน์บางอย่าง โดยอาศัยความตกใจ ความกลัว และความรู้ไม่เท่าทันของเหยื่อ และยังมีกลอุบายแบบใหม่ ๆ ที่หลากหลาย มาล่อลวง ทำให้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ และเกิดความสูญเสียทั้งเวลาและทรัพย์สิน

ที่ผ่านมา ภัยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สร้างความเสียหายมหาศาล ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดสถิติ Financial Fraud หรือการหลอกลวงทางการเงินในปี 2564 เผยแพร่ในรายงาน Bi-monthly PAYMENT INSIGHT ฉบับที่ 14/2565 เรื่อง Financial Fraud : กลโกงทางการเงินใกล้ตัวกว่าที่คิด โดยได้ระบุว่า พบการโทรศัพท์เพื่อหลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทั้งสิ้น 6.4 ล้านครั้ง โดยในปี 2564 มีมูลค่าความเสียหายที่พิสูจน์แล้วว่าเสียหายจริงกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหลอกลวงผ่านโทรศัพท์ และอินเทอร์เน็ตมากที่สุด          

ปัจจุบัน แก๊งคอลเซ็นเตอร์กลายเป็นภัยใกล้ตัวของทุกคน ซึ่งแม้ว่าหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะร่วมมือกันในการสืบค้น ปราบปราม และจับกุมกวาดล้างเหล่ามิจฉาชีพแล้ว การเตือนภัยและให้ความรู้ในการรับมือกับกลุ่มมิจฉาชีพก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยเสริมเกราะป้องกัน เพื่อให้รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมกลโกง และเอาตัวรอดให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพกลุ่มนี้ได้

 

เจาะลึกกลโกงแก๊งคอลเซ็นเตอร์

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แจ้งเตือนประชาชนให้ระวังกลโกงและรู้ทันวิธีการหลอกลวงของแก็งคอลเซ็นเตอร์ สรุปได้ 8 กลโกง ดังนี้

1. อ้างว่ามีพัสดุจากบริษัทขนส่งข้ามประเทศถูกอายัด แก๊งคอลเซ็นเตอร์อาจโทรหรือใช้ระบบอัตโนมัติแจ้งว่ามีพัสดุจากต่างประเทศที่ส่งผ่าน DHL หรือ FedEx ถูกด่านกรมศุลกากรอายัดไว้เนื่องจากมีสิ่งของผิดกฎหมาย จากนั้นให้ติดต่อกลุ่มมิจฉาชีพที่สวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อตรวจสอบบัญชี หรือโอนเงินในบัญชีทั้งหมดมาตรวจสอบ

2. อ้างว่าเป็นข้าราชการ เช่น ศาล อัยการ ตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือกรมสรรพากร และแจ้งว่าเหยื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมร้ายแรง โดยให้โอนเงินในบัญธนาคารทั้งหมดมาตรวจสอบ

3. อ้างว่าค้างค่าปรับจราจร โดยหลอกให้โอนเงินค่าปรับจราจรมาให้

4. อ้างว่าค้างชำระบัตรเครดิตเป็นเงินจำนวนมาก หากไม่รีบชำระจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดี เพื่อหลอกให้โอนเงินชำระค่าบัตรเครดิตให้มิจฉาชีพทันที

5. อ้างว่าทำความผิดโดยการเปิดบัญชีม้า โดยแจ้งว่าเหยื่อได้เปิดบัญชีธนาคารให้คนร้ายทำความผิด โดยต้องโอนเงินในบัญชีธนาคารทั้งหมดมาตรวจสอบ

6. อ้างว่าการเคลมประกันโควิด-19 เป็นเท็จ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมร้ายแรง จากนั้นก็แจ้งให้เหยื่อโอนเงินบัญชีธนาคารทั้งหมดมาตรวจสอบ

7. อ้างเป็น กสทช. หลอกว่าหมายเลขโทรศัพท์มือถือของเหยื่อค้างชำระค่าบริการ หรือมีผู้ร้องเรียนเป็นจำนวนมาก จะถูกปิดหมายเลขภายใน 2 ชั่วโมง ให้ติดต่อกลุ่มมิจฉาชีพที่สวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และโอนเงินในบัญชีทั้งหมดมาตรวจสอบ

8. อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือหน่วยงานทางการแพทย์ เพื่อหลอกขอข้อมูลส่วนบุคคล จากนั้นก็หลอกให้โอนเงินค่ารักษาพยาบาล

 

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเบอร์ต้องสงสัยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์

สิ่งแรกที่ทุกคนสังเกตได้คือ เบอร์โทรศัพท์หลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะเป็นหมายเลขแปลกๆ ซึ่งปกติแล้วเวลามีคนโทรเข้ามาเบอร์จะปรากฏเป็นเลข 10 หลัก แต่ถ้าหากเห็นเบอร์ยาวๆ แล้วยังมีเครื่องหมายบวก (+) อยู่ข้างหน้าอีก ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่า อาจจะเป็นเบอร์โทรหลอกลวงจากมิจฉาชีพได้

ส่วนใหญ่แล้วเป็นเบอร์ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้โทรเข้ามาจะเป็นเบอร์ที่เราไม่เคยติดต่อ หรือเป็นเบอร์โทรที่เราไม่ได้บันทึกไว้ในเครื่องโทรศัพท์ โดยมักจะเป็นเบอร์จากต่างจังหวัดที่ไม่คุ้นเคย หรือโทรมาจากต่างประเทศ ซึ่งมักจะขึ้นต้นด้วย +830 หรือ +870

นอกจากนี้ ยังมีเบอร์ที่ขึ้นต้นด้วย +697 และ +698  ซึ่งเป็นความร่วมมือของกสทช.และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ใส่เครื่องหมายนำหน้าเบอร์โทรศัพท์  เพื่อให้ทราบว่าเป็นการโทรจากต่างประเทศ หากไม่มีคนรู้จักที่จะติดต่อจากต่างประเทศ ควรระมัดระวัง อาจเป็นการโทรจากมิจฉาชีพ

 

วิธีรับมือกับแก็งคอลเซ็นเตอร์

สำหรับใครที่เผลอรับสายเบอร์แปลก ๆ และคิดว่าอาจเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อความปลอดภัย สามารถทำตามวิธีการดังต่อไปนี้

  • ไม่เชื่อ : ไม่เชื่อว่าภาครัฐหรือเอกชนมีนโยบายสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลทางโทรศัพท์ ตั้งสติเมื่อรับสายทุกครั้ง
  • ไม่บอก : ไม่บอกข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลทางการเงินใดๆ รีบตัดสายและวางสายโดยเร็วที่สุด
  • ไม่ทำตาม : ไม่ทำตามที่แก็งคอลเซ็นเตอร์แนะนำ ไม่ว่าจะขั้นตอนใดๆ เด็ดขาด หลังจากวางสาย ให้ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานหรือสถาบันที่ถูกแอบอ้างทันที

 

ทรูมูฟ เอช ห่วงใย ให้คุณปลอดภัยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์และมิจฉาชีพทุกรูปแบบ

ทรูมูฟ เอช  ตระหนักถึงภัยจากคอลเซ็นเตอร์และมิจฉาชีพที่มาพร้อมกับกลโกงหลากหลายรูปแบบ ด้วยความห่วงใยลูกค้าทุกคน ทรูมูฟ เอช จึงมีแนวทางแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนและครบวงจร เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ลูกค้าเป็นสำคัญ

โดยทรูมูฟ เอช เพิ่มช่องทางพิเศษดูแลลูกค้าที่พบปัญหาโดยเฉพาะ หากลูกค้าได้รับเบอร์โทรต้องสงสัย สามารถติดต่อ Hotline 9777 (โทรฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย) ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเบอร์โทรต้องสงสัย และ SMS มิจฉาชีพ เพื่อดำเนินการบล็อกเบอร์โทร หรือ SMS ทันทีที่ตรวจพบว่าเป็นของมิจฉาชีพจริง พร้อมประสานหน่วยงานภาครัฐเพื่อสืบค้นและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ ทรูยังสนับสนุนการเสริมเกาะป้องกันภัยไซเบอร์ต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ และอัปเดตภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ ๆ ผ่านเว็บไซต์ True Cyber Care ให้ลูกค้าทรูและผู้บริโภครู้ทันก่อนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ คลิกดูข้อมูลได้ที่นี่

 

อ้างอิง

อ่านต่อ
เคล็ดลับฉบับย่อ ดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากมัลแวร์
True Cyber Care 10 พ.ค. 2565

ที่ผ่านมาเราได้ยินข่าวเกี่ยวกับมัลแวร์ (Malware) มาบ่อยครั้ง แต่รู้ไหมว่าคำที่คุ้นหูนี้ อาจเป็นภัยใกล้ตัวกว่าที่คิด!
 

ในยุคที่ทุกคนต่างใช้เทคโนโลยีสุดทันสมัย และใช้ชีวิตอยู่กับกิจกรรมออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ ภัยจากมัลแวร์เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา  มัลแวร์ที่ว่านี้คือ ซอฟต์แวร์หรือโค้ดที่มิจฉาชีพหรือแฮ็กเกอร์สร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์ร้ายและเป็นอันตรายในการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของทุกคน 

รู้ทันมัลแวร์ ภัยที่แฝงมากับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่

แม้ว่ากลไกของมัลแวร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีการหลอกลวงในลักษณะนี้มานานแล้ว แต่ในปัจจุบันมิจฉาชีพปรับเปลี่ยนกลโกงให้แนบเนียนมากยิ่งขึ้น 

ตัวอย่างของภัยมัลแวร์ที่เห็นได้ชัดจากสถานการณ์ในเวลานี้คือ มิจฉาชีพหรือแฮ็กเกอร์จะส่ง SMS มาหลอกลวงผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ ด้วยข้อความดูน่าเชื่อถือ เช่น ข้อความแจ้งเตือนจากธนาคาร เพื่อชักจูงให้กดลิงก์ไปยังเว็บไซต์ปลอม หรือหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันปลอม


หากผู้ใช้เผลอกดลิงค์ที่ได้มาก็จะเข้าสู่เว็บไซต์ปลอม หรือติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมไว้กับเครื่องโทรศัพท์ จากนั้นก็มีข้อความหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) ข้อมูลเหล่านี้มิจฉาชีพจะใช้แฮ็กเข้าระบบเพื่อขอสิทธิ์ในการเข้าถึงอุปกรณ์ เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งเท่ากับเป็นการอนุญาตให้มัลแวร์เข้ามาแฝงในอุปกรณ์ต่างๆ แล้ว 


จากนั้นแฮ็กเกอร์ก็เข้าจัดการการสมัครบริการต่างๆ ที่คิดค่าบริการเหมือนกับเจ้าของเครื่องทำรายการเอง โดยที่เจ้าของเครื่องไม่รู้ตัวเลย เช่น การสมัครรับ SMS เป็นต้น  ส่วนข้อมูลส่วนตัวของเจ้าของอุปกรณ์จะถูกส่งกลับไปหาแฮ็กเกอร์เช่นกัน โดยแฮ็กเกอร์จะใช้ข้อมูลหรือโค้ดที่ได้มาล้วงข้อมูล ควบคุม และติดตามการใช้งาน รวมไปถึงสามารถทำลายข้อมูล พร้อมนำข้อมูลต่างๆ ไปใช้ในทางไม่ดีโดยที่เจ้าของเครื่องไม่รู้ตัว ทั้งยังส่งข้อความกลับไปหลอกลวงต่อเรื่อยๆ อีกด้วย
 

เคล็ดลับจัดการภัยมัลแวร์ด้วยตัวเอง

เมื่อรู้เท่าทันช่องทางของภัยมัลแวร์แล้ว ทุกคนสามารถจัดการและป้องกันตัวเองจากมัลแวร์ได้ด้วยวิธีง่ายๆ ที่ทำได้ทันที ดังนี้  

ควรอัปเกรดระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ให้เป็นปัจจุบันเสมอ
ปิดบลูทูธ และ NFC (Near-field communication เทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลแบบไร้สายด้วยคลื่นความถี่ในระยะใกล้) ทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน 
ไม่ควรเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือ Hotspot ตามที่สาธารณะหรือไม่ทราบแหล่งที่มา
หลีกเลี่ยงการทำเจลเบรคหรือรูทเครื่อง
ติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัส เพื่อป้องกันมัลแวร์ โดยพิจารณาแอปพลิเคชันที่มีความน่าเชื่อถือและเรตติ้งสูงเท่านั้น ผู้ใช้ระบบ Android ดาวน์โหลดจาก Google Play Store และผู้ใช้ระบบ iOS ดาวน์โหลดจาก App Store

แต่ละวิธีสามารถช่วยปกป้องอุปกรณ์ของเราจากภัยมัลแวร์ได้ แต่สิ่งสำคัญคือการติดตามอัปเดตข่าวสาร และระวังตัวก่อนทำกิจกรรมหรือธุรกรรมทางออนไลน์ให้มากขึ้น
 

ทรูใส่ใจทุกปัญหา มุ่งมั่นดูแลลูกค้าให้ปลอดภัยจากทุกภัยไซเบอร์

 

ทรูตามติดสถานการณ์ภัยไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง เราโดยมีหน่วยงานที่ดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่พร้อมดูแลลูกค้า และไม่เคยหยุดพัฒนาระบบ และพร้อมอัปเกรดให้ทันสมัย เท่าทันต่อเล่ห์เหลี่ยมกลโกงของเหล่ามิจฉาชีพ ตลอดจนภัยไซเบอร์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วด้วยความห่วงใยใส่ใจความปลอดภัยของลูกค้าเป็นสำคัญ 
 
สำหรับลูกค้าทรูมูฟ เอช ที่พบปัญหา SMS กินเงิน SMS กวนใจ หรือ SMS ขยะ สามารถยกเลิกข้อความประชาสัมพันธ์ผ่าน SMS ได้ด้วยตัวเองง่าย ๆ ผ่าน 2 ช่องทาง คือ
 
  • กด *137 แล้วกดโทรออก กด 1 ตรวจสอบ SMS ที่ถูกคิดค่าบริการ กด 2 ยกเลิก SMS ข้อความประชาสัมพันธ์ หรือ กด 3 ยกเลิก SMS ที่ถูกคิดค่าบริการ  โดยลูกค้าทรูมูฟ เอช โทรฟรีตลอด 24 ชั่วโมง 
  • จัดการผ่านแอปพลิเคชัน True iService ได้ทันที
ลูกค้าสามารถทำตามวิธีการง่าย ๆ ได้ด้วยตนเอง โดยดูจากคลิปวิดีโอนี้
 

 
หากพบปัญหาการถูกเรียกเก็บค่าบริการคอนเทนต์ดาวน์โหลด ซึ่งอาจเกิดจากภัยไซเบอร์ที่แฝงมากับสื่อออนไลน์  SMS หลอกลวงให้กรอกข้อมูลส่วนตัว หรือมัลแวร์ที่แฝงเข้ามาในเครื่องโทรศัพท์  สามารถสอบถาม ขอคำแนะนำ และยกเลิกบริการคอนเทนต์ดาวน์โหลด ได้ที่ ศูนย์เฉพาะรับเรื่องแก้ปัญหาบริการคอนเทนต์ดาวน์โหลด โทร. 02-700-8085 ทุกวัน เวลา 9.00 – 18.00 น. ลูกค้าทรูมูฟ เอช โทรฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ 
 
นอกจากนี้ ทรูยังขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อปกป้องลูกค้าให้ปลอดภัย ห่างไกลจากมิจฉาชีพ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยร่วมมือกับ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ ศูนย์ PCT และ กสทช. เปิด Hotline 9777 ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเบอร์โทรต้องสงสัย และ SMS มิจฉาชีพ ลูกค้าทรูมูฟ เอช โทรฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง 
 
และเพื่อเสริมเกราะป้องกันภัยไซเบอร์ ทรูยังมุ่งเน้นการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ และอัปเดตภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ ๆ ผ่านเว็บไซต์ True Cyber Care ให้ลูกค้าทรูและผู้บริโภครู้ทันก่อนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ คลิกดูข้อมูลได้ที่นี่
 
ลูกค้าของทรูมั่นใจได้ว่า ทรูพร้อมดูแลลูกค้าทุกคนให้ใช้บริการได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยจากทุกภัยไซเบอร์ 
อ่านต่อ